[SF snsd] one love - [SF snsd] one love นิยาย [SF snsd] one love : Dek-D.com - Writer

    [SF snsd] one love

    สำหรับชั้น ความรักคือการเสียสละเพื่อคนที่เรารัก ถึงแม้มันอาจจะต้องแลกด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต........แต่มันคงไม่สำคัญเกินกว่าคนที่เรารัก

    ผู้เข้าชมรวม

    3,761

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    3.76K

    ความคิดเห็น


    29

    คนติดตาม


    4
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ย. 52 / 18:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     


    ทิฟฟานี่


    แทยอน มันมากเกินไปกับสิ่งที่เธอให้ชั้น
      
    ชั้นไม่ได้ต้องการมันมากไปกว่าเธอเลยรู้มั้ย










     

    แทยอน

    เธอ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับชั้น
    ชั้นยอมทำทุกวิถีทางเพื่อเห็นคนที่ชั้นรักมีความสุข


    ...............................................................................................................

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      fic one love



      เมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไปฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มกลับมาเยือนกรุงโซลอีกครั้ง
       จะว่าไปฤดูที่ชั้นชอบที่สุดก็คงจะเป็นฤดูใบไม้ผลิเนี่ยแหละเพราะอากาศไม่หนาวมากนักทำให้เจ้าคิมบับสุนัขพันธุ์โกลด์เด็นรีทริลเวอร์ของชั้นไม่ขี้เกียจที่จะพาชั้นเดินออกกำลังกายรอบสวนสารธารณะยออิโด
       
      “คิมบับ ทำไมวันนี้หนูเดินเร็วจังล่ะคะ ป๊าเดินตามไม่ทันแล้วนะ” ชั้นอุทานออกมาปนเสียงหอบเนื่องจากปกติเจ้าคิมบับมักจะเดินเชื่องช้าเสมอจนชั้นต้องออกปากสั่งให้มันเดินเร็วขึ้นหากแต่วันนี้มันกลับเดินเร็วจนชั้นแทบสาวเท้าตามไม่ทัน
       
      “หิวน้ำรึยัง เดี๋ยวป๊าป้อนน้ำให้นะ” ชั้นบอกกับมันก่อนจะล้วงหยิบขวดน้ำที่อยู่ในกระเป๋าสะพายขึ้นมาแล้วเปิดฝาขวดเทน้ำลงในฝ่ามือของชั้นเพื่อให้คิมบับกินส่วนชั้นคงต้องรอให้ลูกสาวเลียน้ำที่อยู่ในมือจนหมดเสียก่อนถึงจะดื่มน้ำที่เหลืออยู่ในขวดได้อย่างถนัด
       
      “อิ่มแล้วใช่มั้ยคิมบับ งั้นป๊าขอดื่มน้ำก่อนนะคะ” ชั้นเอ่ยพลางยิ้มก่อนจะเอามือลูบตามขนนุ่มของมันอย่างเอ็นดู
       
      “ขอโทษนะคะ”
      “มีอะไรหรอคะ??” ชั้นได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นซึ่งเค้าคงจะหมายถึงชั้นชั้นจึงถามกลับไป
       
      “เมื่อกี้.......คุณเรียกสุนัขของคุณว่าอะไรนะคะ??”
      “อ๋อ คิมบับค่ะ มันชื่อคิมบับ ทำไมหรอคะ??”
       
      “แทยอน”
      “คุณรู้จักชั้นด้วยหรอ??” ชั้นเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อจู่ๆคนที่ยืนคุยด้วยเอ่ยชื่อของชั้นออกมาแล้วเค้ารู้จักชั้นด้วยงั้นหรือ แต่ชั้นกลับไม่ได้คำตอบใดๆกลับมามีเพียงแต่ความเงียบและเสียงลมที่พัดไปกระทบกับใบไม้เท่านั้นที่ชั้นได้ยิน
       
      “ไปแล้วงั้นหรอ ใครก...” ไม่ทันที่ชั้นจะพูดจบก็รู้สึกได้ถึงหยดน้ำอุ่นที่หล่นลงกระทบบนไหล่ของชั้นและไออุ่นที่เกิดจากการสวมกอดแน่นหนาของใครบางคน ซึ่งชั้นยังคงจำได้ดีว่าร่างแบบนี้  กลิ่นกายแบบนี้คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนๆนั้นที่ชั้นพยายามหนีมาตลอดระยะเวลา 2 ปี
       
      “แท............รู้มั้ยว่าฟานี่ตามหาแทมานานแค่ไหน” เธอเอ่ยกับชั้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจนชั้นรู้สึกได้เลยว่าเธอคงจะรู้สึกปวดร้าวไม่ต่างจากชั้น
       
       
      “แท......ทำไมทำแบบนี้ ฮือฮือ ถ้าฟานี่รู้ฟานี่จะไม่ยอมรับมันเด็ดขาดเลย”
      เธอใช้กำมือของเธอทุบไหล่ชั้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เธอเองยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดจนสงสัยคงเริ่มเหนื่อยเธอจึงสวมกอดชั้นแทนและตอนนั้นเองไม่รู้ทำไมน้ำตาชั้นก็ไหลออกมาไม่มีสาเหตุคงเป็นเพราะชั้นคิดถึงสัมผัสเช่นนี้จากเธอสินะ
       
      “ฟานี่พูดเรื่องอะไร ชั้นไม่เข้าใจหรอก” ชั้นแสร้งเอ่ยออกไปเช่นนั้นราวกับชั้นไม่รู้เรื่องในสิ่งที่เธอพูดแม้แต่น้อยก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเองและเอื้อมไปซับน้ำตาให้คนที่อยู่ในอ้อมกอด
       
      “เลิกปากแข็งซักทีเถอะ ฟานี่รู้หมดแล้ว.........แทไม่คิดบ้างหรอไงว่าฟานี่จะรู้สึกยังไงที่แท..”
       
      “เพราะแทรักฟานี่ไงล่ะ เหตุผลแค่นี้พอจะยอมรับในสิ่งที่แทตัดสินใจไปได้รึยัง” ชั้นพูดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่ยอมหยุดอีกครั้ง 
       
       
      “แล้วแทรู้ได้ไงว่าฟานี่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ คิดบ้างมั้ยว่าฟานี่จะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีแทน่ะ” ทิฟฟานี่พูดพลางเขย่าร่างชั้นอย่างแรง ทำไมชั้นจะไม่รู้ล่ะว่าการอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่มีเธอมันเป็นยังไง มันทรมานแค่ไหนทำไมชั้นจะไม่รู้
       
      “อยู่ได้สิ ลืมไปแล้วหรอว่า 2ปีแล้วนะที่เราอยู่โดยไม่มีกันและกัน เห็นมั้ยว่าฟานี่อยู่ได้โดยไม่มีชั้น ชั้นน่ะ.....ไม่ได้สำคัญกับชีวิตฟานี่ขนาดนั้นหรอก”
       
      “ถ้าแทไม่สำคัญกับชีวิตของฟานี่........2 ปีที่ผ่านมาฟานี่คงไม่ต้องอยู่อย่างทรมานแบบนี้   ไม่ต้องนอนร้องไห้คิดถึงแททุกวัน   แบบนี้หรอที่บอกว่าฟานี่อยู่ได้โดยไม่มีแทน่ะ” 
       
      “อย่าทำให้ชั้นลำบากใจอีกเลยนะฟานี่ ตอนนี้ชั้นเป็นเพียงแค่คนตาบอดคนนึงไม่มีค่าอะไรสำหรับฟานี่ผู้หญิงที่สามารถจะมีอนาคตที่ดีได้ถ้าไม่มีคนอย่างชั้น”
      ชั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นก่อนจะหันหลังให้เธอ คนที่ชั้นรักมากที่สุดแต่ชั้นไม่อาจแตะต้องเธออีกแล้วเพราะชั้นไม่อยากให้ชีวิตที่สดใสของเธอต้องมาจมอยู่กับคนอย่างชั้นที่ไม่มีอะไร มีเพียงหัวใจดวงเล็กๆที่เต้นช้าลงๆเท่านั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บและแล้วความทรงจำในอดีตระหว่างชั้นกับทิฟฟานี่ที่ฝังลึกอยู่ก้นบึ้งของหัวใจก็ย้อนกลับขึ้นมาฉายชัดในแววตาของชั้นอีกครั้ง
       
       
       
       
       
       
      เมื่อ 2 ปีที่แล้วชั้นเป็นหนึ่งในช่างภาพฝีมือดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ที่ทำงานอยู่ในบริษัท SM media entertainment บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวกับด้านภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในเกาหลี ซึ่งงานของชั้นก็คือตระเวนถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่น่าท่องเที่ยวเพื่อลงในนิตยสารของบริษัทนั่นเอง
       
       
      “ไอแทเดี๋ยวชั้นมานะ อย่าไปไหนล่ะ”
      “จะไปไหนอ่ะ??” ชั้นละสายตาออกจากกล้องตัวโปรดก่อนจะเอ่ยถามยูริเพื่อนรักของชั้นที่ทำท่ารุกรี้รุกรน
       
      “ไปขอเบอร์นางฟ้าตกสวรรค์”
      “เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้เลยนะไอนี่” ชั้นพูดพลางส่ายหัวให้กับความเจ้าชู้ของยูริก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่แสนจะสวยงามบนหอคอยกรุงโซลต่อ
       
      “เอ้ย!!”
      “อุ้ย!! ขอโทษนะคะ พอดีชั้นไม่ทันเห็นว่าคุณกำลังถ่ายรูปอยู่ ขอโทษจริงๆค่ะ”
       
      “เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” ชั้นบอกกับเธอก่อนจะลดกล้องลงจากระดับสายตาและภาพที่เห็นตรงหน้าคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ รอยยิ้มของเธอชั้นไม่สามารถจะเอ่ยคำใดแทนความรู้สึกที่ชั้นมี ณ ตอนนั้นได้เลย ชั้นรู้แค่เพียงว่าชั้นไม่เคยเห็นรอยยิ้มใดที่จะดึงดูดใจชั้นได้มากเท่านี้มาก่อน
       
      “ไอแท ทำอะไรน่ะ จีบสาวงั้นหรอห่ะ” เสียงของยูริทำให้ชั้นรีบละสายตาออกจากใบหน้าของคนๆนั้นทันทีด้วยความตกใจ
       
      “เอ่อ ปปเปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ชั้นตอบยูริก่อนจะหันหลังกลับไปหาเธออีกแต่ปรากฏว่าเธอคนนั้นหายไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้
       
       
      “แล้วผู้หญิงคนเมื่อกี้ใครอ่ะ??”
       
      “ชั้นก็ไม่รู้ เค้าแค่เดินตัดหน้ากล้องชั้นแค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกกลับกันเถอะ” ชั้นพูดตัดบทพลางลงมือเก็บอุปกรณ์ที่ใช้ถ่ายรูปลงกระเป๋า
       
      “เออ เดือนหน้าตกลงแกต้องไปถ่ายภาพที่เกาะเชจูกับใครอ่ะ??” ยูริหันมาถามชั้นขณะที่กำลังขับรถอยู่บนถนนเพื่อกลับไปยังที่ทำงานของพวกเรา
       
      “ไม่มี พอดีรุ่นพี่ซูยองติดงานอยู่ที่ลอสแองเจลลิสจะกลับก็ปลายปี งานนี้ชั้นคงต้องไปทำคนเดียว” ชั้นกล่าวก่อนจะทอดสายตามองออกไปข้างนอกรถอย่างรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตยังไงก็ไม่รู้ทั้งที่ความจริงชีวิตชั้นตอนนี้ก็เพรียบพร้อมหมดทุกอย่างทั้งได้ทำงานในสิ่งที่รักและคนรอบข้างที่ดีๆแต่จะว่าไปสิ่งที่ชั้นไม่เคยสมหวังก็คงจะเป็นเรื่องความรักล่ะมั้ง แต่.....ทำไมพอคิดมาถึงเรื่องนี้จู่ๆภาพใบหน้าของเธอคนนั้นถึงฉายชัดขึ้นที่แววตาของชั้นนะ ทำไมกัน
       
      “หยุดรถ!! ไอยูลหยุดรถก่อน!!” ชั้นรีบบอกยูริเสียงดังลั่นรถเมื่อสายตาของชั้นมองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยื้อแย้งกระเป๋ากับชายร่างสูงซึ่งดูท่าทางแล้วคงไม่ใช่แฟนหรือคนรักทะเลาะกันแน่
       
      “อะไรของแกเนี่ยจะไปยุ่งเรื่องของผัวเมียเข้าทำไม” ยูริเอ่ยขึ้นขณะที่หยุดรถเพื่อให้ชั้นลงตามคำสั่งของชั้น
       
      “ปล่อยมือของแกออกจากกระเป๋าซะ!!” ชั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ
       
      “ผัวเมียเข้าทะเลาะกัน มึงเกี่ยวอะไรห่ะ!!”
      “ไม่ใช่นะคะ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า ช่วยชั้นด้วย”
       
      “จะปล่อยหรือไม่ปล่อย!!” ชั้นเริ่มตะคอกใส่มัน
       
      “ยุ่งนักใช่มั้ย งั้นกูขอเล่นมึงก่อนเลยแล้วกัน!!” ชายฉกรรจ์ร่างสูงคนนั้นชักมีดสั้นที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมาก่อนจะพุ่งตรงมาที่ชั้นหมายจะแทงชั้นแต่ชั้นหลบทันเสียก่อนและใช้กำมือที่เล็กแต่แรงของชั้นเสยเข้าที่คางของมันอย่างจังจนมันล้มลงไปนอนกับพื้น ตอนแรกชั้นนึกว่ามันจะลุกขึ้นมาอีกแต่ดันสลบไปเลยซะงั้นชั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าในมือมันมาอย่างง่ายดาย
       
      “ขอบคุณมากนะคะ” เธอเอ่ยกับชั้นขณะที่ชั้นยื่นกระเป๋าสะพายในมือให้กับเธอและนั้นก็ทำให้ชั้นเห็นหน้าใบเธอใกล้มากขึ้นจนชั้นจำได้ว่าเธอคือคนเดียวกับที่ชั้นเจอบนหอคอยกรุงโซลนั่นเอง
       
      “ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นเต็มใจช่วย” ชั้นตอบกลับไปด้วยท่าทีขัดเขินเนื่องจากชั้นไม่กล้าสบสายตากับเธอ
       
      “เอ่อ ขอโทษอีกครั้งนะคะที่เดินตัดหน้าคุณตอนคุณถ่ายรูปนะคะ” เธอเอ่ย สงสัยคงจะจำชั้นได้เหมือนกัน
       
      “อ๋อ เรื่องนั้นไม่ต้องซีเรียสหรอกค่ะ ชั้นลืมไปแล้วล่ะ”
       
      “แล้วคุณเอ่อ..”
      “ชั้นชื่อทิฟฟานี่ค่ะเรียกว่าฟานี่เฉยๆก็ได้ค่ะแล้วคุณ...” เธอบอกก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กับชั้น
       
      “ชั้นชื่อแทยอนค่ะ เรียกว่าแทก็ได้ คือ เอ่อ ทำไมคุณมาเดินอยู่คนเดียวแบบนี้ล่ะ รู้มั้ยว่าแถวนี้น่ะโจรวิ่งราวเยอะจะตายไป”
       
      “ชั้นไม่ใช่คนแถวนี้หรอกค่ะก็เลยไม่รู้ อีกอย่างชั้น......” 
       
      “อย่าหาว่าชั้นยุ่งเลยนะคะ แล้วคุณจะไปไหน เดี๋ยวชั้นไปส่งให้ก็ได้”
      “ชั้นหนีออกจากบ้านมาน่ะค่ะ เลยไม่รู้จะไปไหนดีชั้นไม่รู้จักใครเลยซักคน”
       
       
       
       
      “ไอแทเป็นไงบ้าง??” ยูริรีบซักไซร้ชั้นทันทีเมื่อชั้นเดินมาถึงที่รถ
       
      “เอ่อ นี่ยูริ เพื่อนของชั้นค่ะ” ชั้นแนะนำยูริให้กับทิฟฟานี่ก่อนจะเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งข้างในส่วนชั้นก็ขึ้นไปนั่งข้างยูริเหมือนเดิม
       
      “ไอยูลนี่คุณทิฟฟานี่” ชั้นแนะนำทิฟฟานี่ให้กับยูริบ้าง
      “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะคุณยูริ เพื่อนของคุณมีน้ำใจกับชั้นมากเลยล่ะค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ชั้นอีกรอบ
       
      “ยยยินดีที่ได้ร่วมงาน เอ้ย!! รู้จักเช่นกันค่ะ ไอแทมันเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นเหมือนกับชั้นนั่นแหละค่ะ  ว่าแต่คุณฟานี่มีเบอร์...”
      “ไอยูล!! เดี๋ยวเหอะ เสียมารยาทออกรถได้แล้ว” ชั้นรีบพูดแทรกขึ้นก่อนไม่งั้นยูริคงมัวแต่จีบทิฟฟานี่อีกยาว
       
      “ไปไหนอ่ะ??”
      “ไปส่งชั้นที่คอนโดก่อน ส่วนแกชั้นฝากฟิลม์ไปส่งด้วยก็แล้วกัน”
       
      “โหย!!”
       
      “โหยอะไร??”
       
      “ปปเปล่า ก็ได้ๆ”
       
       
      ณ คอนโด
       
      “ขอบคุณนะคะคุณยูริ”
      “ขอบใจไอยูล” ทั้งชั้นและทิฟฟานี่พูดขณะที่ลงจากรถ
       
       
       
       
      “ชั้นไม่ค่อยวางของเป็นที่ ห้องมันเลยดูรกไปหน่อยนะ” ชั้นบอกเธอขณะที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของวางระเกะระกะมากมาย ก็ชั้นมันอยู่ตัวคนเดียวหนิก็เลยไม่รู้จะจัดห้องให้เป็นระเบียบเรียบร้อยไปเพื่อใคร
       
      “ชั้นว่า ชั้นคงรบกวนคุณมากเกินไป เดี๋ยวชั้นไปหาที่อื่นเช่าอยู่จะดีกว่า”
       
      “ไม่ค่ะไม่รบกวนเลย แต่ว่าถ้าคุณไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไรนะคะ”
       
      “งั้นรบกวนด้วยนะคะ ชั้นไม่รู้จะไปไหนจริงๆถ้าชั้นหางานทำได้เมื่อไหร่ชั้นจะย้ายออกไปทันทีเลยล่ะค่ะ”
       
      และแล้วชั้นกับทิฟฟานี่ก็กลายเป็นรูมเมทกันทำให้ชั้นได้รู้ว่าที่ทิฟฟานี่หนีออกจากบ้านมาเป็นเพราะความกดดันที่พ่อกับแม่ของเธอเอาแต่บังคับให้ทำตามที่ท่านต้องการรวมถึงต้องการให้สานต่อกิจการของครอบครัวที่ตัวเธอเองไม่อยากบริหารงานต่อจึงต้องหนีออกมาเพื่อดำเนินชีวิตด้วยตัวเองทำงานที่ตัวเองรักและอยากทำนั่นก็คือ การเป็นช่างภาพ ซึ่งสิ่งนี้มันยิ่งทำให้ชั้นกับทิฟฟานี่เข้ากันได้ดีมากขึ้นและชั้นก็ได้สอนเทคนิคต่างๆในการถ่ายภาพให้กับเธอด้วยและดูเหมือนว่าเธอจะชอบเรียนรู้เอามากๆ
       
      “อืม อย่างนั้นแหละ ซูมออกมาอีกนิดนึงจะได้ภาพที่ดูกว้างขึ้น” ชั้นกำลังสอนทิฟฟานี่ที่ตอนนี้กำลังหัดใช้กล้องตัวใหญ่ของชั้นอยู่ซึ่งอีกไม่นานเธอคงจะเริ่มคล่องเหมือนกับกล้องตัวอื่นๆที่ชั้นสอนเธอหมดแล้ว และต่อไปชั้นคงพาเธอไปสมัครงานที่บริษัทชั้นได้ซักทีนึง
       
      “เหนื่อยรึยัง ไปหาที่นั่งพักกันก่อนเถอะ” ชั้นว่าก่อนจะเดินนำทิฟฟานี่ไปนั่งลงยังเก้าอี้สวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลจากสายตานัก
       
      “อ่ะน้ำ ดื่มสิจะได้สดชื่น” ชั้นพูดพลางส่งขวดน้ำในมือให้เธอก่อนจะดื่มน้ำจากขวดตัวเอง
       
      “ขอบคุณนะแท” ทิฟฟานี่เอ่ยก่อนจะยื่นหน้ามาห้อมแก้มชั้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัวน้ำที่ถูกกระดกเข้าไปในปากจึงพุ่งออกมาจนหมดด้วยความตกใจจากการกระทำนั้นและตอนนี้หน้าชั้นก็แดงเรื่อขึ้นมาด้วย
       
      “มมไม่เป็นไร แค่น้ำขวดเดียวเอง” ชั้นตอบกลับไปด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนทั้งที่ไม่ยอมสบตาเธอเพราะชั้นอายมากเลย ณ ตอนนั้น
       
      “ไม่ใช่ ฟานี่หมายถึงทุกเรื่องเลย ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ขอบคุณนะ”
       
      “อออื้ม”
       
       
      แล้วหลังจากนั้นไม่นานชั้นก็พาทิฟฟานี่ไปสมัครงานที่ที่ชั้นทำงานปรากฏว่า ได้ ทิฟฟานี่ดีใจใหญ่เลยเพราะในที่สุดความฝันที่จะเป็นช่างภาพของเธอก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วรวมถึงชั้นด้วยที่พลอยดีใจไปกับความสำเร็จครั้งนี้ของเธอจะว่าไปชั้นก็เป็นอาจารย์ได้ดีเหมือนกันแหะ
       
      “เตรียมข้าวของเรียบร้อยรึยังฟานี่??” ชั้นถามเธอเนื่องจากเราสองคนต้องไปถ่ายรูปที่เกาะเชจูด้วยกันเพราะตอนนี้ทิฟฟานี่ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยของชั้น
       
      “เรียบร้อยแล้วล่ะ”
      “งั้นคืนนี้นอนพักผ่อนมากๆนะ พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางกันแต่เช้า” ชั้นบอกเธอก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนตัวเอง
       
       
      เช้าวันรุ่งขึ้น  บนเครื่องบิน
       
      “ฟานี่” ชั้นสะกิดทิฟฟานี่ที่นั่งอยู่ข้างกายชั้น
      “อะไรกัน หลับแล้วหรอ” ชั้นยิ้มพลางส่ายหัวให้กับความขี้เซาของเธอ
      “ขนาดหลับยังน่ารักเลยนะเนี่ย” ชั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาพลางโน้มคอเธอให้ซบลงที่บ่าของชั้นก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยผมที่ปิดหน้าของเธอออกแล้วกดจูบลงที่เรือนผมของคนที่หลับใหลอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันชั้นถึงรู้สึกอยากทำเช่นนั้นกับเธอ
       
      ซักพักชั้นก็หลับตามเธอไปแต่ชั้นคงไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วทิฟฟานี่ไม่ได้หลับสนิทอย่างที่ชั้นคิดเธอเพียงแค่อยู่ในโหมดสลึมสลือเท่านั้น เพราะฉะนั้นเธอได้ยินในสิ่งที่ชั้นพูดและรับรู้ทุกการกระทำของชั้นทั้งหมด
       
      “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้เครื่องบินสาย TT 27 ของเรากำลังทำการลงจอดยังสนามบินคิมโปค่ะ ขอบพระคุณทุกท่านที่ไว้วางใจสายการบินแอร์ไลน์ของเราค่ะ” เสียงของพนักงานบนเครื่องประกาศทำให้ทั้งชั้นและทิฟฟานี่ตื่นขึ้นพร้อมกัน
       
       
      “เย้!! ในที่สุดเราก็มาถึงเกาะเชจูซักที” ทิฟฟานี่เอ่ยขณะที่เราสองคนกำลังเดินไปรอรถเพื่อที่จะนั่งขึ้นไปยังบ้านพักที่จองไว้
       
      “รู้รึเปล่าว่าความจริงเกาะเชจูน่ะ ไม่ใช่เกาะธรรมดาเลยนะ” ชั้นเอ่ย
       
      “ทำไมงั้นหรอ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
      “เค้าว่ากันว่า นานมาแล้วราชามังกรสั่งให้ม้าใช้สายลับ ไปสืบหายาอายุวัฒนะบนภูเขา อัลลา แต่ม้าตัวนี้ไปขโมยลูกประคำหยกของเจ้าเขาฮัลลา เจ้าเขาเจ้าป่าพิโรธโกรธจัดแผลงศรไปถูกมันตอนกำลังหลบหนี พร้อมของกลาง ปรากฏว่ามันตายแล้วกลายเป็นหินอยู่ริมทะเล นั้นไงหินที่ว่าสวยมั้ยล่ะ” ชั้นพูดพลางชี้ไปยังหินที่รถของเรากำลังขับผ่านทำให้ทิฟฟานี่รีบหันไปมองตามมือชั้นทันทีด้วยความตื่นเต้น 
       
      “แล้วลูกประคำหยกที่มันขโมยมาล่ะ ถ้าใครได้ไปคงรวยแหงๆ”
       
      “ตำนานไม่ได้บอกว่าลูกประคำหยกกับยาอายุวัฒนะตกหล่นอยู่แถวไหน คงกลัวคนจะแห่ไปขุดคุ้ยกัน   แต่เข้าใจว่าเจ้าป่าท่านคงเอากลับไปเก็บซ่อนน่ะ”
      ชั้นตอบก่อนจะมองออกไปนอกรถ
       
      “แทเก่งจัง รู้หมดทุกอย่างเลย ความจริงเปลี่ยนมาทำอาชีพไกด์นำเที่ยวก็น่าจะรุ่งเนอะ” ทิฟฟานี่แกล้งแซวชั้นเล่นทำให้ชั้นได้แต่ส่งยิ้มกลับไปอย่างเขินๆ
       
      ในที่สุดเราก็มาถึงยังบ้านพักจนได้ บรรยากาศข้างบนเกาะนี้สวยงามจริงๆ มีป่าไม้ห้อมร้อมบวกกับเสียงนกด้วยยิ่งทำให้บรรยากาศน่าอยู่ยิ่งขึ้นไปอีก
      สมแล้วที่เค้าว่ากันว่าใครที่เพิ่งแต่งงานควรมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี้
       
      “ชั้นว่าเราต้องได้รูปกลับไปฝากหัวหน้าเยอะเลยล่ะ” ชั้นยิ้มอย่างมีความสุขเพราะการถ่ายภาพมันคือสิ่งที่ชั้นรักมากยิ่งถ้าภาพที่ชั้นจะถ่ายน่าหลงใหลขนาดนี้ชั้นคงไม่มีวันพลาดเด็ดขาด
       
      “ลงไปทานอาหารเย็นกันเถอะ ชั้นหิวมากเลยเนี่ย” ชั้นเริ่มบ่นขณะที่เราเพิ่งจะรื้อของออกมาจากกระเป๋าและจัดมันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
       
      “อื้ม ฟานี่ก็ชักจะหิวแล้วเหมือนกันแหละ” ทิฟฟานี่พูดก่อนจะจูงมือชั้นออกมาจากบ้านพักเพื่อไปทานมื้อเย็นที่ล็อบบี้กลางซึ่งเป็นศูนย์รวมของแขกที่มาพักอาศัยอยู่ที่นี้เช่นกัน
       
      “ชั้นรู้ว่าฟานี่ชอบกินคิมบับนะ แต่.....เธอไม่คิดจะกินอย่างอื่นบ้างเลยหรอไงอย่างเช่นไก่ตุ๋นโสมหรืออาหารพวกนั้นน่ะ” ชั้นถามทิฟฟานี่เพราะเห็นเธอเดินไปตักแต่คิมบับมากินอย่างเดียว
       
      “ก็ฟานี่ชอบกินคิมบับหนิ อย่างอื่นมันไม่ค่อยถูกปาก” เธอตอบชั้นขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่อาหารทำให้ชั้นแอบขำกับท่าทางของเธอ
       
      แล้ววันนี้ก็หมดไปอย่างรวดเร็วทั้งชั้นและทิฟฟานี่ต่างเพลียจากการเดินทางด้วยกันทั้งคู่เราสองคนจึงรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้เริ่มงานกันซักที
       
      “ฟานี่นอนข้างบนไปเถอะเดี๋ยวชั้นนอนที่พื้นเอง” ชั้นบอกเมื่อเห็นทิฟฟานี่กำลังจัดแจงเว้นที่ว่างบนเตียงไว้ให้ชั้นนอนด้วย
       
      “นอนด้วยกันข้างบนเนี่ยแหละ พื้นเย็นเฉียบขนาดนั้นเดี๋ยวก็ชักตายหรอก”
      ทิฟฟานี่สั่งชั้นเสียงแข็ง แต่ถึงยังไงชั้นก็ยืนยันที่จะนอนข้างล่างดีกว่าเพราะอะไรน่ะหรอก็ชั้นกลัวห้ามใจตัวเองไม่อยู่น่ะสิก็เธอออกจากน่ารักน่ากอดขนาดนั้น
       
      “ไม่เป็นไรชั้นนอนได้ ง่วงแล้ว...นอนก่อนนะ ฝันดีจ้ะ” ชั้นรีบพูดตัดบทก่อนจะล้มตัวลงนอนข่มตาให้หลับทันทีเพื่อที่ชั้นจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่านอีก
       
      “หนาว..” เสียงชั้นละเมอขึ้นมากลางดึกเพราะอากาศบนเกาะเชจูยิ่งดึกยิ่งหนาวมากขนาดคนที่นอนอยู่บนเตียงยังต้องห่มผ้าถึงสองชั้นแล้วนับภาษาอะไรกับชั้นที่นอนอยู่บนผื้นเปล่ากับผ้าห่มอีกเพียงหนึ่งผืนคงทนกับความเยือกเย็นเช่นนี้ไม่ได้แน่
       
      “แท หนาวหรอ” ทิฟฟานี่ลุกจากเตียงลงมาหาชั้น
      “เธอนี่มันดื้อจริงๆเลย ขึ้นมานอนข้างบนกับชั้นตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง” เธอพูดก่อนจะพยายามพยุงชั้นที่หลับไม่รู้เรื่องขึ้นไปนอนบนเตียงแต่ตัวเธอออกจะบอบบางขนาดนั้นการพาชั้นขึ้นไปนอนมันเกินกำลังของผู้หญิงตัวเล็กๆคน
      นึงเธอจึงวางชั้นลงบนพื้นอย่างเดิมก่อนจะหอบออกมาด้วยความเหนื่อย
       
      “ถ้าชั้นเอาผ้าห่มให้เธอชั้นก็ไม่พอห่มอีกน่ะสิ เอาไงดี” เธอคิดอยู่พักนึงก่อนจะตัดสินใจได้ว่าควรทำยังไง ดังนั้นเธอจึงต้องลงมานอนที่พื้นกับชั้นพร้อมกับผ้าห่มของเธอที่ห่มให้ชั้นด้วย ตอนนี้เราสองคนจึงนอนหลับอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
       
      เช้าวันรุ่งขึ้น
       
      “เอ้ย!!” ชั้นเกือบจะแหกปากร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างของทิฟฟานี่นอนอยู่ข้างกายชั้นพร้อมกับกอดชั้นไว้แน่นภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันแต่ชั้นก็ต้องกลืนเสียงลงไปเพราะเธอยังคงนอนหลับสนิท
       
      “ทำไมเธอมานอนอยู่นี้ ทั้งที่พื้นหนาวจะตายไป” ชั้นได้แต่คิดในใจขณะที่ลอบมองเธออยู่ใกล้ๆอย่างนั้น แล้ว.....ทำไมหัวใจชั้นมันถึงเต้นแรงขนาดนี้นะ ชั้นจะห้ามใจตัวเองไม่ให้เผลอใจกับเธอแทบไม่ไหวแล้ว 
       
      “แบบนี้เค้าเรียกว่ารักรึเปล่านะ”ชั้นพูดกับตัวเองก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าลงหอมแก้มคนตรงหน้าอย่างฉวยโอกาส อีกครั้งแล้วที่ชั้นแอบทำมิดีมิร้ายกับเธอ
       
      “จะทำอะไรน่ะ!!” ชั้นรีบผละออกจากใบหน้าของทิฟฟานี่ทันทีเมื่อเธอลืมตาขึ้นและถามชั้นด้วยความตกใจ
       
      “เอ่อ คือ ปปป่าวไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย” ชั้นรีบตอบตะกุกตะกักก่อนจะลุกขึ้นเดินหนีไปเข้าห้องน้ำทันที
       
      “วันนี้เราจะไปถ่ายรูปที่ไหนกันบ้างเนี่ย??”
       
      “เอ่อ ก็ถถถถาแถวเกาะแหละ” ชั้นตอบกลับไปแต่ก็ไม่มองเธออยู่ดีเพราะไม่รู้ว่าเธอจะรู้รึเปล่าว่าเมื่อกี้ชั้นกำลังจะหอมแก้มเธอ
       
       
       
       
      “เดี๋ยวฟานี่ถ่ายวิวแถวนี้นะแล้วก็บ้านพักด้วย ชั้นจะไปถ่ายตรงนู้น” ชั้นบอกเธอก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้าอีกแต่ไม่ไกลนัก
       
      “แท!!”
       
      “งู!! งูกัดฟานี่” ทิฟฟานี่ร้องไห้ใหญ่ขณะที่ชั้นรีบวิ่งมาหาเธอก็เห็นเธอกำลังนั่งอยู่ที่พื้นและจับขาตัวเองด้วยความปวดจากพิษงู
       
      “แทจะทำอะไร??”
       
      “ก็ดูดพิษออกให้น่ะสิ” ชั้นบอกก่อนจะตัดสินใจใช้ปากของตัวเองดูพิษที่ข้อเท้าของเธอออกแล้วเอาผ้าเช็ดหน้าของชั้นพันที่ขอเท้าให้เธอเพื่อกันไม่ให้พิษที่เหลืออยู่กระจายไปตามเซลล์ต่างๆในร่างกาย
       
      “เดี๋ยวชั้นพากลับห้องนะ” ชั้นพูดพลางพยุงร่างเธอให้ลุกขึ้น เธอไม่ได้พูดอะไรเอาแต่จ้องหน้าชั้นตลอดทางไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
       
      “ชั้นไปขอยาที่ล็อบบี้มา อ่ะนี่” ชั้นส่งยาพร้อมกับแก้วน้ำให้ทิฟฟานี่ที่นอนอยู่บนเตียง
       
      “ฟานี่ทำให้แทเสียงานอีกแล้ว ขอโทษนะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยนั้นด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้ชั้นต้องเสียเวลากับการถ่ายภาพมานั่งดูแลเธอแทน
       
      “อย่าคิดมากสิ เรายังมีเวลาเก็บงานอีกตั้งหลายวัน ฟานี่นอนพักผ่อนเถอะแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้วนะรู้มั้ย” ชั้นพูดพลางส่งยิ้มหวานให้เธอ
       
      “แท”
       
      “หืม??”
       
      “แทชอบฟานี่มั้ย??”
       
      “ฟานี่” ชั้นตกใจมากเมื่ออยู่ดีๆเธอถามออกมาตรงๆอย่างนั้นทำให้ชั้นไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลย
       
      “บอกมาเถอะ.......ไม่ว่าแทจะชอบหรือไม่ชอบ ฟานี่ก็อยากจะ..”
       
      !!อื้อ!!
       
      “แล้วฟานี่ล่ะ ชอบชั้นมั้ย??” ชั้นถามเธอบ้างหลังจากถอนจูบออกจากริมฝีปากเรียวของเธอ
       
      “ชอบสิ ชอบตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน” เธอบอกก่อนจะดึงร่างชั้นเข้าไปกอดจนตอนนี้กายของเราแนบชิดกันจนแทบจะรวมร่างอยู่แล้ว
       
      “ขอบคุณนะแทสำหรับทุกเรื่องที่ทำเพื่อชั้น”
       
      “ขอบคุณเหมือนกันที่ทำให้ชั้นรู้จักคำว่ารัก” ชั้นเอ่ยก่อนจะก้มลงประทับจูบที่ริมฝีปากเรียวของคนตรงหน้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันเนิ่นนานและรู้สึกดีกว่าครั้งไหนๆเพราะมันออกมาจากความรักของเราสองคน
       
       
       
       
       
       
      “คืนสุดท้ายแล้วสิ ที่เราจะได้อยู่บนเกาะเชจูแห่งนี้” ชั้นเอ่ยขึ้นขณะที่มือยังคงกดปุ่มเลื่อนภาพกล้องในมือเพื่อเช็คว่ารูปแต่ละรูปถ่ายไว้สมบูรณ์ดีรึเปล่า ส่วนทิฟฟานี่ก็ดูด้วยเช่นกันโดยเธอนอนซบชั้นอยู่
       
      “แทเชื่อรึเปล่า ที่เค้าบอกว่าคนที่ไม่ใช่คู่รักกันแต่มาที่เกาะเชจูจะได้รักกันน่ะ”
      ทิฟฟานี่ถามขณะที่แหงนหน้ามองชั้น
       
      “ไม่รู้สิ แต่ว่าชั้นกับฟานี่สารภาพรักกันที่เกาะแห่งนี้ไม่ใช่หรอ” ชั้นพูดพลางใช้มือของชั้นกระชับไหล่เธอให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้นก่อนจะก้มลงประทับจูบที่หน้าผากมนของคนในอ้อมกอด
       
      “แท...กอดฟานี่แบบนี้ทั้งคืนเลยนะ”
       
      “ได้สิค่ะ จะทำยิ่งกว่าที่ขอด้วยซ้ำ” ชั้นกระซิบข้างหูเธอพลางซุกหน้าลงที่ซอกคอของคนรักอย่างหยอกเย้าทำให้เธอเขินจนหน้าแดงไปหมด
       
      “แทอ่ะลามก” ทิฟฟานี่ว่าชั้นแถมยกหมอนขึ้นตีที่แขนชั้นเต็มๆ
       
      “ไม่ได้ลามกซักหน่อย ก็ฟานี่อยากให้ชั้นกอดไม่ใช่หรอ” ชั้นพูกพลางดึงทั้งหมอนและคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะพรมจูบทั่วร่างของทิฟฟานี่เลยทีเดียวโดยที่เธอไม่ได้ขัดขืนกับการกระทำของชั้นแม้แต่น้อยแต่กลับโน้มคอชั้นให้ล้มลงทับร่างของเธออีกต่างหาก
       
      “ชั้นรักฟานี่นะ” ไม่รู้กี่ครั้งแล้วในวันนี้ที่ชั้นเฝ้าพร่ำบอกรักคนตรงหน้าแต่ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำนี้ให้เธอเชื่อใจว่าชั้นรักเธอจริงๆ รักเหลือเกินและรักมากเกินกว่าที่จะกลับไปอยู่ตัวคนเดียวหรือใช้ชีวิตตามลำพังได้อีกแล้ว
       
      “ฟานี่ก็รักแทเหมือนกันค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะโน้มคอชั้นลงไปอีก....ลงไปอีก......จนใบหน้าของเราใกล้กัน รับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกันที่กระทบกับใบหน้าของฝั่งตรงข้าม
       
      “เป็นของแทนะ แทสัญญาว่าจะรักฟานี่ตลอดไป”   
       
       
       
       
       
       
      “เย้!! ดีใจจังฟานี่สุดสวยกลับมาแล้ว รู้มั้ยฟานี่ไม่อยู่บริษัทเงียบอย่างกะป่าช้าแนะ” ยูริเอ่ยทักทายทิฟฟานี่ยกใหญ่เมื่อเห็นชั้นกับทิฟฟานี่เดินเข้ามาที่โต๊ะทำงาน 
       
      “ชั้นยังเป็นเพื่อนแกอยู่รึเปล่าว่ะไอยูล ไหงทักแต่ฟานี่อ่ะ” ชั้นแหวใส่มันบ้างเพราะยูริไม่ทักชั้นเลย(เป็นเพื่อนที่น่าคบค้าสมาคมด้วยจริงๆ)
       
      “โถ่!! ทำเป็นงอนเหมือนเด็กๆไปได้ ถ้าเด็กทำก็น่ารักอยู่หรอกแต่พอแกทำแล้วชั้นอยากจะเตะให้ตกเก้าอี้เลยรู้มั้ย” ยูริพูดทำให้ชั้นหน้าเหลือนิ้วเดียวด้วยความอาย ส่วนทิฟฟานี่ก็เอาแต่ขำชั้นใหญ่
       
      “ขำอะไรฟานี่?? เดี๋ยวเถอะ” ชั้นหันไปจิกตาใส่คนรักอย่างคาดโทษ
       
      “ก็ขำแทนั่นแหละ ทำไม ขำแฟนตัวเองไม่ได้หรอไง” คำพูดของฟานี่ทำให้ชั้นหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีก็ชั้นยังไม่ได้บอกใครเลยซักคนรวมถึงยูริด้วยว่าชั้นกับทิฟฟานี่คบกันในสถานะคนรักเรียบร้อยแล้ว
       
      “นี่!! นี่แก ไม่ไม่จริง แกเป็นแฟนกับฟานี่ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย??” ยูริถามชั้นด้วยสีหน้าตกใจอย่างกับเจอผี
       
      “ก็....ที่เกาะเชจูน่ะ” ชั้นตอบก่อนจะมองหน้าทิฟฟานี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
       
      “หืม ชั้นอิจฉาแกว่ะไอแท ไม่น่าปล่อยฟานี่ไปเกาะเชจูกับแกเลยเชียว...แต่ไม่เป็นไรชั้นมีเด็กในสต็อคเยอะ 555” ยูริพูดก่อนจะขำออกมาอย่างภาคภูมิใจกับความคาสโนว่าระดับเทพของตัวเอง
       
      “ฟานี่ ชั้นฝากดูแลไอแทด้วยนะ มันคือลูกหมาที่ชั้นรักที่สุดเลยล่ะ ไปทำงานก่อนนะ” ยูริเอ่ยกับทิฟฟานี่พลางหันมาแลบลิ้นใส่ชั้นแล้วรีบวิ่งหนีการเตะของชั้นด้วยความเร็วสูงไปในทันที
       
       
       
      และแล้วความรักของชั้นกับทิฟฟานี่ก็เริ่มต้นขึ้น ชั้นอยากจะบอกว่าตั้งแต่ทิฟฟานี่เดินเข้ามาในชีวิตชั้นไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นเศร้าหรือทุกข์ใจ แต่อาจจะมีบ้างที่มีทะเลาะกันเล็กๆน้อยๆด้วยความเข้าใจผิดแต่นั่นมันก็เกิดขึ้นกับคูรักทุกคู่เป็นธรรมดา และชั้นก็รู้สึกว่าเธอคนนี้นี่แหละที่ชั้นตามหามาทั้งชีวิต คงจะเป็นคนๆนี้แหละที่ชั้นอยากใช้ชีวิตร่วมกันจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
       
       
       
      ~ 2 ปีต่อมา ~
       
       
      “รักฟานี่นะคะ” ชั้นกระซิบที่ข้างหูคนรักอย่างแผ่วเบาก่อนจะบรรจงจูบลงที่เรียวปากของคนรักที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่
       
      “อื้อ แท” เธอลืมตาขึ้นทันทีที่ได้รับสัมผัสจากการกระทำของชั้นก่อนจะส่งยิ้มละลายใจให้ชั้นได้หลงใหลเช่นทุกครั้ง
       
      “จำได้มั้ยวันนี้วันอะไร??” ชั้นเอ่ยถามพลางเอามือลูบผมเธออย่างหยอกเย้า
       
      “วันจันทร์ไง” ทิฟฟานี่เอ่ยด้วยท่าทีเหมือนแกล้งหยอกชั้นเล่นก่อนจะกระเถิบเข้ามาซุกในอ้อมกอดชั้นอย่างกับเด็กๆ
       
      “อยากโดนแบบเมื่อคืนรึไงคะ ถึงได้ยั่วให้ชั้นโมโหน่ะ” ชั้นพูดพลางหอมแก้มคนรักและแกล้งเธอด้วยการซุกไซร้ใบหน้าลงที่ซอกคอขาวของคนรัก
       
      “ก็ได้ๆ ฟานี่ยอมแล้ว แทอ่ะ ทำไมฟานี่จะจำวันครบรอบที่เราคบกันไม่ได้ล่ะคะ”
       
      “ไหนล่ะ??” เธอเอ่ยพลางยื่นมือบางใส่ชั้น
       
      “อะไร??” ชั้นแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเธอจะสื่ออะไร
       
      “ก็ของขวัญไง เอามาโชว์เร็วอย่าลีลา”
       
      “ก็ได้ๆ แหมจะทำหวานซักหน่อยก็ไม่ได้นะ” ชั้นพูดก่อนจะเอื้อมไปเปิดลิ้นชักข้างเตียงแล้วหยิบกล่องใบหนึ่งที่อยู่ในนั้นขึ้นมา
       
       “สวยจังเลยแท” ฟานี่เอ่ยด้วยสีหน้าสนอกสนใจเมื่อชั้นเปิดฝากล่องที่อยู่ในมือออกเผยให้เห็นสร้อยคอที่ทำจากเงินแท้สั่งทำพิเศษโดยเฉพาะ
       
      “ดีใจจังที่ฟานี่ชอบมัน เดี๋ยวชั้นใส่ให้ฟานี่นะ” ชั้นพูดก่อนจะหยิบสร้อยคอที่มีรูปแม่กุญแจคล้องอยู่ในสร้อย ซึ่งตัวแม่กุญแจประดับด้วยเพชรทั้งหมดใส่ให้คนรักของชั้น
       
      “ใส่ให้ชั้นด้วยนะเราจะได้ไม่พรากจากกันเหมือนแม่กุญแจกับลูกกุญแจ” ชั้นบอกเธอ ทิฟฟานี่จึงหยิบสร้อยอีกเส้นหนึ่งที่มีรูปลูกกุญแจคล้องอยู่ขึ้นมาและจัดการใส่ให้ชั้นเช่นกัน
       
      “ฟานี่รักแท” เธอเอ่ยพลางกระชับกอดชั้นแน่น
       
      “ชั้นก็รักฟานี่มากเหลือเกิน จนชั้นไม่กล้าคิดเลย.........หากวันใดที่ชั้นขาดฟานี่แล้วชั้นจะมีชีวิตอยู่บนโลกต่อไปได้ยังไง” ชั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะก้มลงจุมพิตคนรักด้วยความทะนุถนอม
       
      “มันจะไม่มีวันนั้นหรอก ฟานี่สัญญา เราจะต้องอยู่ด้วยกันไปจนกว่าแทจะเบื่อขี้หน้าฟานี่เลยล่ะ” เธอทำเป็นพูดติดตลกเพื่อให้บรรยากาศดูสดชื่นขึ้น
       
      “งั้นชั้นคงต้องอยู่กับฟานี่ไปจนตายเลยน่ะสิ เพราะชั้นไม่มีวันเบื่อฟานี่คนรักของชั้นหรอก” ขอบคุณนะฟานี่ ขอบคุณที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของชั้นแล้วก็ขอบคุณพระเจ้าด้วยที่ส่งเธอมาให้ชั้นได้รู้จักการรักใครซักคน
       
      “ถ่ายรูปกันเถอะ ฟานี่อยากถ่ายรูปกับสร้อยเส้นใหม่” เธอเอ่ยขึ้นพลางดึงร่างชั้นให้ลุกจากเตียงตามเธอ
       
      “งั้นไปถ่ายที่ระเบียงกันเถอะ เช้านี้ดูบรรยากาศดีจัง” ชั้นว่าพลางคว้ากล้องที่วางอยู่หัวเตียงขึ้นมาและเดินตามหลังทิฟฟานี่ไปยังระเบียงของคอนโด
       
      “1...2...3 แชะ!!” เสียงชั้นนับและกดถ่ายภาพดังขึ้นห้ารูปติดเพราะทิฟฟานี่เปลี่ยนท่าโพสไวราวกับนางแบบมืออาชีพ
       
      “แท!! มาถ่ายรูปคู่กัน” ทิฟฟานี่ตะโกนบอกชั้น
       
      “1...2....3 แชะ!!” ชั้นทำท่าโอบกอดเธอพร้อมกับหอมแก้มขณะที่กดชัตเตอร์
       
      “1..2..3..เอ้า!! ฟิล์มหมดซะงั้น” ชั้นอุทานขึ้นอย่างอารมณ์ค้างเมื่อฟิล์มเจ้ากรรมดันหมดกลางคันกำลังถ่ายรูปเพลินเลยเชียว
       
      “งั้นเดี๋ยวแทเข้าไปเอาฟิล์มแปปนึงนะ”
       
      “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฟานี่ไปหยิบให้” เธอพูดแทรกขึ้นมาก่อนจะรีบวิ่งตัดหน้าชั้นไปทันที ชั้นจึงเดินไปยืนรอที่ระเบียงเช่นเดิม
       
       
       
      “อยู่ไหนนะ?? อ๊ะ!! อยู่นั้นเอง ทำไมชอบวางของไว้สูงเกินตัวอยู่เรื่อยเลยนะแทยอน” ทิฟฟานี่บ่นเมื่อเห็นกล่องฟิล์มวางอยู่ชั้นบนสุดของชั้นวางอุปกรณ์ในห้องทำงาน
       
      “อึ๊บ!! อีกนิดนึงฟานี่ อีกนิดนึง” ทิฟฟานี่พูดกับตัวเองเมื่อปลายนิ้วของเธอใกล้จะคว้ากล้องฟิล์มที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว
       
      !!!!!อ๊าย!!!!
       
      แต่เรื่องที่ไม่คาดคิดก็มักจะเกิดกับเราเสมอเมื่อน้ำยาล้างฟิล์มที่วางไว้อยู่ใกล้กับกล่องฟิล์มตกลงมาแทนและโชคร้ายที่ฝามันไม่ได้ถูกปิดไว้อย่างที่ควรจะเป็นมันจึงหกราดใบหน้าของทิฟฟานี่เต็มๆจนเธอต้องกรีดร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด
       
      “ฟานี่!!!” ชั้นรีบวิ่งเข้ามาภายในห้องทำงานทันทีที่ได้ยินเสียงหวีดร้องของคนรัก
       
      “อดทนหน่อยยนะ ชั้นจะพาเธอไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แหละ” ชั้นพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะชั้นทำอะไรไม่ถูกเลย ณ ตอนนั้น เมื่อเห็นสภาพของคนรักชั้นแทบอยากจะเจ็บแทนด้วยซ้ำแต่ชั้นก็ทำไม่ได้นอกจากรีบพาเธอไปส่งถึงมือแพทย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
       
       
       
       
       
       
      “แทฟานี่เจ็บ ฟานี่ไม่ไหวแล้ว” เธอเอ่ยพลางดิ้นไปมาขณะที่กำลังถูกเข็นไปยังห้องฉุกเฉินทำให้ฉันสงสารเธอมากเหลือเกินราวกับว่าชั้นถูกแทงด้วยมีดแหลมคมเช่นเดียวกันกับที่เธอรู้สึกทรมาน
       
       
      ทำไม ทำไมต้องเกิดเรื่องบ้าๆอย่างนี้ด้วย ทำไมต้องเกิดขึ้นในวันนี้ วันสำคัญของเรา ชั้นอดโทษตัวเองไม่ได้เลยที่ทิฟฟานี่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้เพราะความสะเพร่าความประมาทของชั้นที่ไม่ยอมเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อยไม่งั้นคนรักของชั้นคงไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องทรมานอย่างที่ชั้นเห็น
       
       
      “คุณหมอคะ ฟานี่ ฟานี่เป็นยังไงบ้าง??” ชั้นรีบเดินเข้าไปหาคุณหมอที่ออกมาทันที
       
      “ตอนนี้ใบหน้าของคนไข้ผมทำการศัลยกรรมบาดแผลให้เรียบร้อยแล้วนะครับ คิดว่าอีกไปเกินสองอาทิตย์คนไข้ก็สามารถเปิดผ้าพันแผลออกได้ แต่ว่า...”
      “ทำไมคะ?? แต่ว่าอะไร??” แค่รับรู้ว่าทิฟฟานี่ถึงขึ้นต้องศัลยกรรมใบหน้าใหม่ชั้นก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว แต่นี้ยังจะมีข่าวร้ายกว่านี้ที่ทำให้ชั้นจะทรมานเจียนตายอีกหรือไงกัน
       
      “แต่ว่า....ทางเราไม่สามารถรักษาดวงตาของคนไข้ทั้งสองข้างไว้ได้ครับ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในน้ำยามันทำลายจ่อประสาทตาจนหมด ผมเสียใจดวงนะครับ” ชั้นเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันทีที่ได้ยินในสิ่งที่คุณหมอบอก ชั้นอยากจะคิดเหลือเกินว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องล้อเล่นเท่านั้นแต่ก็เป็นไปไม่ได้ในเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆแล้ว และมันเกิดขึ้นในเวลารวดเร็วเสียด้วยจนชั้นตั้งรับไม่ทัน ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน ไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยคำพูดใดๆออกไปแล้วในตอนนี้ ชั้นจะทำอย่างไรต่อไปชั้นสับสนไปหมดแล้ว
       
       
      3 วันต่อมา
       
      “ฟานี่!! ฟื้นแล้วหรอคะ” ชั้นที่นั่งอยู่ข้างเตียงคนรักรีบจับมือของทิฟฟานี่เขย่าทันทีที่เห็นเธอค่อยๆลืมตาขึ้น
       
      “แท” เธอเรียกชื่อชั้นพร้อมกับบีบมือชั้นแน่นขณะที่พยายามสอดส่ายสายตาไปรอบห้อง นั้นยิ่งทำให้ชั้นน้ำตาไหลออกมาทันทีเพราะชั้นรู้ว่าเธอคงจะมองไม่เห็นอะไร
       
      “ทำไม.....ทำไมฟานี่มองไม่เห็นอะไรเลย” เธอพูดพลางเขย่ามือชั้นอย่างแรงจนชั้นลืมตัวปล่อยให้เสียงสะอื้นหลุดลอดออกมา
       
      “แทร้องไห้ทำไม??”
       
      “ฟานี่.....ชั้นขอโทษ ชั้นมันไม่ดีเอง ที่เธอต้องเจ็บแบบนี้มันเป็นความผิดของชั้นทั้งหมด” ชั้นพูดออกไปด้วยเสียงสั่นเครือขณะที่เอื้อมไปกอดเธอแน่น ซึ่งทิฟฟานี่ยังคงทำท่าทางงงว่าชั้นพูดเรื่องอะไรกัน
       
      “ตกลงฟานี่เป็นอะไรกันแน่?? บอกมาเถอะ ฟานี่อึดอัดจะตายอยู่แล้วนะที่มองอะไรไม่เห็นเลย”
       
      “เธอ.....เธอ......ตาบอด” น้ำตาชั้นร่วงหล่นไม่ขาดสายเมื่อเอ่ยคำนั้นออกมาให้คนที่ชั้นรักมากที่สุดได้รับรู้
       
      “ไม่จริง!! แทโกหกฟานี่ใช่มั้ย ฟานี่ไม่เชื่อ!!”
       
      “ฟานี่ ฟังชั้นนะถึงฟานี่ของชั้นจะเป็นยังไง ชั้นก็ไม่สนใจชั้นยังรักฟานี่เสมอได้ยินมั้ย” ชั้นพูดทั้งน้ำตาก่อนจะดีงร่างคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแต่เธอก็ผลักชั้นให้ออกห่างอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
       
      “ทำไม!! ทำไมต้องหลอกฟานี่ด้วย ฟานี่ไม่เชื่อ ทำม่ายยยยยยย!!” เธอกรีดร้องโวยวายใหญ่แต่นั้นไม่ได้ทำให้ชั้นโกรธหรือโมโหเธอเลยแม้แต่นิดเดียวแต่ชั้นกลับยิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าจับใจ
       
      “ไอแท” ยูริที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องยืนอ้าปากข้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นทิฟฟานี่กำลังอาละวาดปาหมอนใส่ชั้นยกใหญ่
       
      “มาก็ดีแล้ว ฝากหน่อยนะ” ชั้นรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างลวกๆพราะไม่อยากให้เพื่อนรักอย่างยูริต้องเห็นน้ำตาจากคนที่เคยเข้มแข็งอย่างชั้นแล้วชั้นก็รีบเดินออกไปจากห้อง
       
      “ฟานี่ใจเย็นๆนะ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจาสิ” เมื่อเห็นแทยอนออกไปแล้วยูริจึงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงทิฟฟานี่แทน ยูริเองก็รู้สึกสงสารทิฟฟานี่เหมือนกันที่เห็นสภาพแฟนเพื่อนเป็นเช่นนี้บวกกับข่าวร้ายที่แทยอนบอก
       
      “ยูริ ชั้นอยากถามเธอเรื่องนึงสัญญาได้มั้ยว่าจะมั้ยโกหกชั้น” ทิฟฟานี่เอ่ยทำให้ยูริถึงกับสะอึกเมื่อได้ยินคำถามที่ตรงไปตรงมาจากทิฟฟานี่
       
      “ออือ สสสัญญา จะถามอะไรอ่ะ??”
       
      “รู้มั้ยว่าที่ชั้นมองอะไรไม่เห็น.....ชั้นเป็นอะไรกันแน่??”
       
      “เอ่อ คือ...เอ่อ..”
       
      “บอกมาสิ!! บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้นะยูริ” ทิฟฟานี่ตะคอกใส่ยูริทั้งน้ำตาเพราะตอนนี้เธออึดอัดเหลือกเกินที่มองอะไรก็ไม่เห็นแถมคนรักยังมาหาว่าเธอตาบอกอีกเธอจะคลั่งตายอยู่แล้ว
       
      “ฟานี่..เธอตาบอด...ชั้นเสียใจที่ต้องพ…”
       
      “พอ!! ออกไปได้แล้ว เธอมันก็เหมือนเพื่อนเธอนั่นแหละยูริชั้นเกลียดพวกเธอทั้งคู่เลย” ทิฟฟานี่ตะคอกใส่ยูริก่อนจะเบือนหน้าไปอีกทางอย่างโกรธเคืองทำให้ยูริไม่รู้จะทำเช่นไรเหมือนกันจึงต้องออกมาจากห้อง
       
       
       
      “ทำไมฟานี่ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ รู้มั้ยชั้นกลัวแทบแย่ตอนเธอตะคอกใส่น่ะ” ยูริพูดกับแทยอนทันทีที่ออกมาจากห้องและเห็นแทยอนนั่งกุมขมับอยู่
       
      “ไอยูล ชั้นจะบ้าตายอยู่แล้ว ชั้นจะช่วยฟานี่ยังไงดีชั้นสงสารฟานี่” ชั้นร้องไห้ออกมาต่อหน้ายูริจนได้ ไม่ไหวแล้ว ชั้นทนไม่ไหวแล้วจริงๆเพียงแค่ไม่กี่วันชั้นก็ทนเห็นสภาพคนรักอยู่แบบทรมานเช่นนี้ไม่ได้แล้วแล้วเวลาที่เหลือกอีกทั้งชีวิตล่ะชั้นจะทนเห็นคนรักของชั้นอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
       
      “ใจเย็นๆไอยูล ปัญหาทุกอย่างมันต้องมีทางออกสิ ยังไงอีกไม่นานต้องมีคนบริจาคดวงตาให้ทางโรงพยาบาลอยู่แล้วล่ะ”
       
       
      “เหอะ!! แล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะ รอโดยไม่รู้จุดหมายอย่างนั้นหรอแล้วถ้าเกิดไม่มีใครบริจาคล่ะ ฟานี่ไม่ต้องกลายเป็นคนตาบอดไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรอห่ะ!!” ชั้นขึ้นเสียงด้วยความโมโหทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของยูริเลย
       
      “นี่ไอแท!! แกสงบสติก่อนจะได้มั้ย ตอนนี้ฟานี่ต้องการกำลังใจไม่ใช่น้ำตากับความสงสารจากแกนะรู้ไว้ซะ แกนี่มัน...”
       
      “ชั้นขอโทษ นั่นสิชั้นควรจะไปอยู่เคียงข้างฟานี่ในตอนนี้ไม่ใช่ออกมาร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่ทำอยู่ มันไร้สาระสิ้นดี” 
       
       
      “ฟานี่ ขอโทษนะที่ปล่อยให้รอนานเลย พอดีชั้นไปซื้อของกินมาให้ของโปรดของฟานี่ทั้งนั้นเลยนะ” ชั้นพยายามฟื้นพูดด้วยน้ำเสียงไร้ซึ่งความทุกข์ขณะที่เดินไปนั่งลงข้างคนรัก
       
      “แทรับได้มั้ยที่ฟานี่เป็นแบบนี้??”
       
      “ทำไมถามอย่างนี้ล่ะคะ ชั้นรักฟานี่รักมากด้วย....เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ชั้นหมดรักคนที่นอนอยู่ตรงหน้าชั้นหรอกนะ” ชั้นพูดพลางดึงมือเธอขึ้นมากอบกุมไว้และจูบไปที่มือนุ่มนั้นอย่างอ่อนโยน
       
      “จริงๆนะแท ไม่หลอกชั้นนะ??” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาที่เกิดจากการสะอื้นไห้เมื่อได้ยินคำพูดของชั้นแบบนั้น
       
      “อื้ม ยังไงแทก็ไม่มีวันทิ้งฟานี่เด็ดขาด แทสัญญา” ชั้นสัญญากับเธอก่อนจะใช่นิ้วปาดน้ำตาที่เปรอเปื้อนออกจากใบหน้าคนรัก
       
       
       
       
      2 อาทิตย์ต่อมา
       
       
      “พรุ่งนี้ผมอนุญาตให้คุณทิฟฟานี่กลับไปรักษาตัวที่บ้านได้ ยินดีด้วยนะครับ” คุณหมอที่ทำการรักษาทิฟฟานี่บอกกับทั้งชั้นและทิฟฟานี่ทำให้ชั้นรู้สึกดีใจเหลือเกินที่ไม่ต้องคอยปลอบคนรักเพราะเธอเบื่อการนอนอยู่บนเตียงคนไข้เป็นอย่างมากรวมทั้งไม่ได้เดินออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกเลย
       
       
      “ดีใจมั้ยฟานี่ จะได้กลับบ้านแล้วนะ” ชั้นเอ่ยถามคนรักพลางดึงมือเธอมาจับไว้หลวมๆ
       
      “ไม่รู้สิ จะว่าไปอยู่ที่นี้ก็ดีเหมือนกัน”
       
      “ทำไมล่ะ?? ไหนฟานี่บอกว่าอึดอัด...อยู่ที่นี้เหม็นแต่กลิ่นยาไม่ใช่หรอ”
      ชั้นถามทิฟฟานี่ด้วยความสงสัยเพราะตั้งแต่เข้ารักษาตัวทิฟฟานี่จะบ่นกับชั้นว่าอยากกลับบ้าน อยากกลับบ้าน ทุกวันแต่พอได้กลีบแล้วทำไมถึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
       
      “เหม็นกลิ่นยาก็ยังดี.......กว่าให้คนอื่นมองอย่างสมเพส” เธอพูดด้วยน้ำเสี่ยงอ่อยพลางก้มหน้าลงต่ำทำให้ชั้นเงียบตามไปด้วยแทบจะทันที
       
      “ฟานี่ยินดีด้วยนะ” ยูริเข้ามาพอดิบพอดีจึงไล่บรรยากาศเศร้าออกไปได้บ้าง
       
      “อื้ม ขอบใจนะยูริ” ทิฟฟานี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบทำให้ยูริที่ฉีกยิ้มเข้ามาหุบลงแทบไม่ทัน
       
      “ไอยูลไหนๆก็มาแล้ว อยู่คุยเป็นเพื่อนฟานี่ไปก่อนนะชั้นขอกลับไปคอนโดหน่อยจะได้ไปเอาชุดมาให้ฟานี่ใส่พรุ่งนี้ด้วย”
       
      “อืม ได้ไม่มีปัญหาเดี๋ยวชั้นอยู่เป็นเพื่อนฟานี่เอง”
       
       
      ณ คอนโด
       
      พรุ่งนี้แล้วสินะที่คนรักของชั้นจะได้กลับมาอยู่ที่คอนโดของเราอีกครั้งแต่ทำไมชั้นถึงรู้สึกไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น ชั้นกลัวเหลือกเกิน กลัวว่าชั้นจะดูแลเธอได้ไม่ดีพอ ที่เธอต้องกลายเป็นคนตาบอดมองอะไรไม่เห็นก็เพราะชั้นเป็นต้นเหตุ ชั้นคิดก่อนจะมองไปรอบๆห้องที่ยังคงจำได้ดีว่าตรงไหน..มุมไหน..ที่เราสองคนเคยใช้มัน แล้วชั้นจะทนได้หรือหากเธอกลับมาอยู่ที่นี้แต่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้อย่างใจชอบ ไม่สามารถเดินไปหาชั้นที่ครัวขณะที่ชั้นกำลังทำกับข้าวแล้วโอบกอดชั้นจากด้านหลัง ไม่สามารถเดินมานั่งตักชั้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจขณะที่ชั้นกำลังอ่านหนังสือ ไม่สามารถวิ่งไล่ตีชั้นเมื่อชั้นแกล้งเธอ และไม่สามารถทำทุกอย่างได้ดั่งเคย
       
      “ฟานี่....ชั้นว่า.....มันถึงเวลาที่ชั้นจะทำอะไรเพื่อคนที่ชั้นรักแล้วล่ะ”
       
       
      เช้าวันรุ่งขึ้น
       
      “ฟานี่ ค่อยๆเดินนะไม่ต้องรีบ” ชั้นบอกเธอขณะที่มือเธอเกาะกุมแขนชั้นอยู่เนื่องจากเธอยังคงไม่ชินกับความมิดและไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
       
      “อ่ะ โอเค  เดี๋ยวฟานี่นั่งรอชั้นในรถก่อนนะ ชั้นขอตัวไปเข้าห้องน้ำแปปนึง”
      ชั้นบอกเธอเมื่อเปิดประตูรถให้เธอขึ้นไปนั่งข้างในเรียบร้อยแล้ว
       
       
      “ฮะโหลไอยูล แกอยู่ไหน??” ชั้นโทรศัพท์ไปหายูริ
       
      (ไอบ้า!! ถามได้ เช้าขนาดนี้จะให้ชั้นไปนอนที่ผับหรอไงห่ะ?? ก็นอนอยู่ที่คอนโดน่ะซิ มีอะไร?? โทรมาแต่เช้าเนี่ย??)
       
      “ชั้นมีเรื่องอยากให้แกช่วยหน่อย”
       
      (เรื่องอะไรมิทราบ??)
       
      “ชั้นจะฝากแกดูแลฟานี่หน่อยจะได้มั้ย??”
       
      (ห่ะ!! แกจะบ้าหรอ มาฝากแฟนไว้กับชั้นทำไม??)
      “ชั้นต้องไปถ่ายรูปที่เมื่องกวางจูพรุ่งนี้ แค่ไม่กี่วันเองเดี๋ยวชั้นก็กลับ ได้มั้ยว่ะ??”
       
      (อ่ะๆ ก็ได้ๆ แล้วจะมาเมื่อไหร่อ่ะ)
       
      “เนี่ยแหละกำลังจะพาไปส่งที่คอนโดแก เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”
       
      (ออะอืม งั้นแค่นี้นะหวัดดี)
       
       
       
      “ทำไมไปนานจังเลยอ่ะแท” ทิฟฟานี่ถามชั้นทันทีที่ชั้นเข้ามานั่งในรถ
       
      “อ๋อ พอดีหัวหน้าโทรมาน่ะ เลยยืนคุยเพลิน ชั้นขอโทษนะที่ให้ฟานี่รอนานเลย”
       
      “ฟานี่ ชั้นไม่ได้ไปส่งฟานี่ที่คอนโดของเรานะ” ชั้นเอ่ยขึ้นขณะที่ขับรถออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว
       
      “ทำไมล่ะ??” เธอถามออกด้วยความสงสัย
       
      “คือ..พรุ่งนี้ชั้นต้องไปกวางจูน่ะ หัวหน้าโทรมาบอกเมื่อกี้ไง” ชั้นพูดออกไปอย่างยากลำบาก ตั้งแต่คบกันมาชั้นไม่เคยปิดบังหรือโกหกคนรักแม้แต่ครั้งเดียวแต่ครั้งนี้มันเป็นความจำเป็นจริงๆที่ชั้นต้องทำ
       
      “แล้ว...แทจะพาฟานี่ไปไหนล่ะ??”
       
      “คอนโดไอยูล ชั้นบอกมันเรียบร้อยแล้วมันไม่มีปัญหาอะไร”
       
      ณ คอนโดยูริ
       
      “ฝากฟานี่ด้วยนะไอยูล” ชั้นบอกยูริแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนรักไม่ห่าง
      “ไม่ต้องห่วงหรอก ฟานี่ก็เหมือนเพื่อนชั้นคนหนึ่ง ชั้นดูแลให้ได้หน่าไอแท” ยูริพูดพลางตบไหล่ชั้นเมื่อเห็นชั้นทำหน้าเศร้า
       
      “แท...ไปรึยัง??” เธอเอ่ยเรียกชื่อชั้นทำให้ชั้นต้องเดินเข้าไปหาเธอที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกครั้ง 
       
      “มีอะไรคะ??” ชั้นเอ่ยถามพร้อมกับนั่งลงข้างเธอและกุมมือเธอไว้หลวมๆ
       
      “กลับมาเร็วๆนะ ฟานี่คิดถึง” เธอพูดพลางซบลงที่ไหล่ของชั้น ทำให้น้ำตาชั้นร่วงหล่นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่แต่ชั้นต้องพยายามเงียบเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้มันเล็ดลอดออกไปเป็นอันขาด
       
      “อื้ม ชั้นไปก่อนนะแล้วจะรีบกลับ” ชั้นเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบาเพราะสิ่งที่ชั้นเอ่ยออกไปมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพก่อนจะกอดร่างคนรักและประทับจูบลงบนหน้าผากมนของเธออีกครั้งซึ่งมันคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่ชั้นจะมีโอกาสได้ทำการกระทำเช่นนี้กับเธอ.........คนที่ชั้นรักมากที่สุด......ยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง
       
       
      ชั้นหันหลังเดินจากมาอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าชั้นตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ทำเช่นนี้เพียงแต่คิดว่าหากทิฟฟานี่กลับมามองเห็นได้ดังเดิมทั้งชั้นและเธอก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความสุขถึงแม้สิ่งที่ต้องแลกมันอาจจะหมายถึงอนาคตของชั้นแต่......มันก็คุ้มค่ากับการที่ได้ทำอะไรเพื่อคนหนึ่งคนที่เรารัก            





      “เดี๋ยว!!  บอกชั้นซักคำได้มั้ยว่าเธอไม่ได้รักชั้น.............ถ้าเธอบอกแค่ไม่รักชั้นคำเดียวเท่านั้น ชั้นจะไม่ถามอะไรกวนใจเธออีกเลยแทยอน” คำพูดของทิฟฟานี่ทำให้ชั้นที่หันหลังเดินจากมาต้องหยุดชะงักทันที ชั้นรักเธอมากแค่ไหนทำไม่ชั้นจะไม่รู้หัวใจตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านชั้นยอมรับได้เลยว่าชั้นไม่เคยลบเธอออกไปจากความทรงจำได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
       
       “ฟานี่..........เธอเป็นอิสระแล้ว” ชั้นเอ่ยก่อนจะถอดสร้อยลูกกุญแจที่คล้องคออยู่ส่งให้กับทิฟฟานี่ช้าๆใส่มือของเธอมันคงจะพอเป็นคำตอบได้แล้วล่ะว่าเรื่องราวความรักระหว่างเราจบแบบไหนทำให้ทิฟฟานี่มองตาชั้นไม่กะพริบเพราะไม่คิดว่าชั้นจะตัดสินใจแบบนี้ 
       
      “ไม่นะแท!! มันต้องไม่เป็นแบบนี้” เธอเอ่ยเสียงดังลั่นพร้อมกับรั้งข้อมือของชั้นไว้อีก
       
      “ไหนบอกว่าจะปล่อยชั้นไปไงล่ะ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรอ ชั้นไม่รักเธอแล้วทิฟฟานี่.....อยู่บนโลกแห่งความจริงซักที” ชั้นพูดทั้งน้ำตาก่อนจะสะบัดข้อมือออกจากคนตรงหน้าและรีบเดินออกมาให้ห่างพร้อมกับสุนัขของชั้น
      นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน ชั้นไม่ต้องการให้เธอจมอยู่กับอดีตของเราอีกแล้ว ตอนนี้มันไม่เหมือนเช่นวันวาน เราต่างคนต้องดำเนินชีวิตในรูปแบบของตัวเองซักที
       
       
       
       
       
       
      “เธอไม่รักชั้นแล้วจริงๆหรอแทยอน......ชั้นไม่มีความหมายกับเธอแล้วจริงๆใช่มั้ย” ทิฟฟานี่ที่ได้แต่ยืนมองดูแทยอนเดินจากไปช้าๆเฝ้าถามตัวเองว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาที่เธอตามหาคนรักมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยซักนิดเดียวเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากของคนที่เดินจากไป
       
      “เธอคงไม่เข้าใจจริงๆว่าสิ่งที่ชั้นต้องการคือเธอไม่ใช่อนาคตอะไรทั้งนั้น”
      ทิฟฟานี่เอ่ยกับตัวเองก่อนจะนึกย้อนไปในอดีตที่เธอเคยต้องเจ็บปวดจากการอยู่โดยไร้ซึ่งแทยอนอีกครั้ง
       
       
       
       
       
       ~7 วันต่อมาหลังจากแทยอนพาทิฟฟานี่มาพักที่บ้านยูริ ~
       
      “ปิดเครื่องอีกแล้ว” ยูริเอ่ยหลังจากกดโทรออกหาแทยอนแต่ปารากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้อีกตามเคยทำให้ชั้นถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าคนรักจะเป็นอะไรไปรึเปล่าแล้วหากเป็นเช่นนั้นชั้นจะอยู่ได้อย่างไร
       
      “ไม่ต้องร้องนะฟานี่ ไอแทมันคงไม่เป็นอะไรหรอก ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาต้องมีคนโทรแจ้งทางบริษัทแล้วล่ะ” ยูริพูดปลอบชั้นทั้งที่ในใจก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตกลงแทยอนเพื่อนรักของเธอหายหัวไปไหน บอกไปแค่สองสามวันแต่นี่ปาเข้าไปอาทิตย์นึงเต็มๆแถมไม่ติดต่อกลับมาอีกไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง
       
       
      15 วันต่อมา
       
      “ฟานี่..”
       
      “ว่าไงยูล ได้ข่าวแทบ้างมั้ย??”
       
      “หัวหน้าฝ่ายบอกว่า.....มันโทรมาลาออกจากงาน แล้วฝากบอกชั้นด้วยว่าให้ดูแลฟานี่แทนมัน” ยูริเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะลำบากใจที่จะดูแลทิฟฟานี่หากแต่เป็นเพราะนึกไม่ถึงว่าแทยอนคนที่รักทิฟฟานี่มากมายจะทอดทิ้งคนรักไปด้วยวิธีแบบนี้ ถึงแม้จะรับไม่ได้ว่าทิฟฟานี่มองไม่เห็นก็ไม่ว่าอะไรเลยเพียงแต่ทำไมต้องใช้วิธีแบบนี้ แบบที่สัญญาว่าจะกลับมา ปล่อยให้รอ ปล่อยให้คอย ทำเพื่ออะไร ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นแทนคนตรงหน้านัก
       
      “เค้าคงจะรับไม่ได้ที่ฟานี่ตาบอดใช่มั้ยยูริ” ชั้นพูดพลางก้มหน้าลงและแล้วหยาดน้ำตาก็ร่วงหล่นไม่ขาดสาย น่าจะเจียมตัวตั้งแต่แรกว่าคนตาบอดอย่างเราใครจะอยากดูแลไปตลอดชีวิต ใครจะไปทนได้ แต่เธอ แทยอนเธอไม่น่าทำแบบนี้กับชั้นเลยบอกกันตรงๆซะยังดีกว่าปล่อยให้ชั้นรออย่างมีความหวังเช่นนี้ 
       
      “ไม่ต้องไปสนใจคนแบบนั้นหรอกฟานี่ ยูลไม่คิดเลยว่าไอแทจะทำแบบนี้แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วงนะ ชั้นจะดูแลฟานี่เอง”
       
      “ขอบคุณนะยูริ แต่ชั้นรบกวนเธอมามากพอแล้วล่ะ ชั้นควรจะออกเดินตามทางของชั้นได้แล้ว”
       
      “อย่าพูดอย่างนั้นสิ เธอไ..”
       
      !!คือแรโยนันนอลซารังเฮ ออนเชนามีดอกุมโด..” เสียงโทรศัพท์ของยูริดังขึ้นซะก่อนยูริจึงต้องล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย
      “ฮะโหล”  
      (นั่นคุณควอน ยูริรึเปล่าครับ)
      “ใช่ค่ะ ชั้นพูดอยู่ นั่นใครค่ะ??” ยูริถามออกไปด้วยความแปลกใจเพราะเบอร์ที่ขึ้นเธอไม่เคยเมมไว้มาก่อน
      (ผมเป็นคุณหมอที่รักษาคุณทิฟฟานี่น่ะครับ)
      “อ่อค่ะ แล้วคุณมีเบอร์โทรศัพท์ของชั้นได้ยังไงคะ??”
      (อันนั้นไม่ใช่ประเด็นหรอกครับ ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้ทราบครับว่ามีคนบริจาคดวงตาให้ทางโรงพยาบาลแล้วนะครับ ดังนั้นนั้นผมจึงจะเรียกตัวคุณทิฟฟานี่ไปทำการผ่าตัดน่ะครับ)
      “จริงหรอคะ!! ขอบคุณมากเลยนะคะคุณหมอ แล้วเดี๋ยวชั้นจะบอกเค้าให้ค่ะ” 
      ยูริกล่าวอย่างดีใจพลางหันไปมองหน้าทิฟฟานี่
      “ฟานี่!! ชั้นมีข่าวดีจะบอก รู้มั้ยเมื่อกี้ทางโรงพยาบาลโทรมาบอกว่ามีคนบริจาคดวงตาแล้ว ชั้นดีใจมากเลยนะที่เธอจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้งน่ะ” ยูริพูดพลางโอบกอดทิฟฟานี่ด้วยความดีใจแต่ทว่าตัวทิฟฟานี่เองกลับไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย จะมีดวงตาไปเพื่ออะไรในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วกลับไม่มีคนที่รักอยู่ตรงหน้า จะมีมันไปเพื่ออะไร!!!
       
       
      ณ โรงพยาบาล seoul center hospital
       
      “สวัสดีค่ะคุณหมอ/ สวัสดีค่ะคุณหมอ” ทั้งยูริและทิฟฟานี่กล่าวทักทายคุณหมอ
      “สวัสดีครับคุณทิฟฟานี่สบายดีมั้ยครับ??” คุณหมอเอ่ยถามชั้นทำให้ชั้นได้แต่ยิ้มตอบกลับไปอย่างเจื่อนๆ
      “คุณพร้อมที่จะเข้ารับการผ่าตัดวันไหนดีครับ??”
      “คุณหมอค่ะ ชั้นไม่อยากผ่าตัดแล้วล่ะค่ะ” ชั้นเอ่ยทำให้ทั้งยูริและคุณหมอถึงกับอึ้งกับคำตอบที่ได้ยิน
      “ทำไมล่ะครับ?? ทำไมคุณถึงเกิดไม่อยากมองเห็นขึ้นมา”
      “นั่นสิฟานี่ ทำไมล่ะ??”
      “อย่าถามชั้นอีกเลยนะคะ ชั้นเพียงแต่ไม่ต้องการมองเห็นอีกแล้วเท่านั้น”
      “เอ่อ..คุณยูริครับ ผมขอคุยเป็นการส่วนตัวกับคุณซักครู่เถอะครับ”
      คุณหมอเอ่ยก่อนจะเดินนำยูริมายังอีกห้องหนึ่ง
       
      “ยังไง....คุณก็ต้องทำให้คุณทิฟฟานี่เปลี่ยนใจให้ได้นะครับ”
      “แต่ว่าชั้นไม่มีสิทธิ์บังคับเค้านะคะ หากเค้าไม่ต้องการผ่าตัด”
      “แล้วคุณจะยอมให้คุณแทยอนตาบอดฟรีๆอย่างนั้นหรือครับ”
      “นี่มันหมายความว่าไงคะ?? ชั้นไม่เข้าใจ”
      “เฮ้อ!! พูดแล้วก็อดนับถือไม่ได้ ผมไม่เคยเห็นใครกล้าตัดสินใจแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ยอมสละได้แม้กระทั่งดวงตาของตัวเอง”
      “หมายความว่า.....!!!” ยูริอึ้งมากและตกใจมากเช่นเดียวกันเมื่อได้ยินในสิ่งที่คุณหมอต้องการาจะบอกเธอ
      “ครับ....เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วคุณแทยอนเธอเข้ามาหาผม ปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีที่จะช่วยให้คุณทิฟฟานี่กลับมามองเห็นเหมือนเดิมแต่ว่า ผมก็บอกกับเธอไปตรงๆว่าคงต้องทำใจเพราะอวัยวะที่สำคัญเช่นนี้ไม่ค่อยมีคนบริจาคนักเธอจึงบอกว่าให้ใช้ดวงตาของเธอแทนได้มั้ย ผมตกใจมากและปฏิเสธว่าทำไม่ได้แต่คุณแทยอนก็ขอร้องและรบเร้าผมอยู่นานจนผมต้องยอมรับปากว่าจะทำตามที่ขอให้”

      “แล้วคุณหมอรู้มั้ยคะว่าตอนนี้เค้าอยู่ไหน??” ยูริถามคุณหมอ เธอรู้สึกผิดจริงๆที่เคยคิดว่าเพื่อนของเธอเป็นคนแบบนั้นไม่นึกว่าจะยอมเสียสละเพื่อทิฟฟานี่ขนาดนี้ นี่ถ้าเธอรู้ยังไงเธอก็คงไม่ยอมให้เพื่อนรักทำเช่นนี้เด็ดขาด

      "ไม่ทราบเหมือนกันครับ เอ้อ แต่เค้าฝากของไว้ให้คุณด้วยนะครับ นี่ครับ” คุณหมอพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมสีขาวก่อนจะหยิบซองจดหมาย
      ซอหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับยูริ
       

      “ขอโทษนะยูริเพื่อนรักที่ชั้นจากไปโดยไม่บอกกล่าวก่อน แต่ตอนนี้แกคงจะรู้เหตุผลของชั้นแล้วใช่มั้ย ชั้นฝากฟานี่ด้วยนะ ดูแลเธอ........จนกว่าเธอจะหายจนกว่า......เธอจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แล้วก็ที่ชั้นไม่บอกแกตั้งแต่แรกเพราะชั้นรู้ว่าถ้าแกรู้แกคงไม่ยอมให้ชั้นทำแบบนี้แน่ๆส่วนเรื่องที่ชั้นทำไม่ต้องบอกฟานี่นะ เค้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก.......เพราะถ้าเค้ารู้เค้าคงไม่ยอมรับมันเช่นเดียวกับแก สุดท้ายไม่ต้องเป็นห่วงชั้นนะ ชั้นอยู่ได้.......แค่รู้ว่าทิฟฟานี่คนที่ชั้นรักจะได้ใช้ดวงตาของชั้นชั้นก็มีความสุขแล้วล่ะ” 
                                                                                                                                           จากแทยอน
       


      “ไอแท….” น้ำตาของยูริหยดลงบนกระดาษแผ่นนั้นทันทีที่อ่านจบ เธอนับถือความเสียสละของเพื่อนเธออย่างมาก แสดงว่าแทยอนคงจะรักทิฟฟานี่มากสินะถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดแบบนี้ 
      ชั้นสัญญาว่าแกจะต้องไม่สูญเปล่า
      ชั้นจะดูแลทิฟฟานี่แทนแกเอง
       
      ยูริเดินกลับเข้ามาในห้องตรวจเช่นเดิมก็เห็นทิฟฟานี่ยังคงนั่งอยู่ด้วยอาการซึมเศร้า
      “ฟานี่เธอแน่ใจแล้วหรอว่าจะไม่ผ่าตัดน่ะ??”

      “ชั้นไม่อยากมองเห็นอีกแล้วล่ะยูริ ไม่รู้จะมองเห็นไปทำไมในเมื่อ.........คนที่รักไม่ต้องการชั้นแล้ว”

      “แล้วถ้าชั้นบอกว่า........ชั้นรู้ว่าแทยอนอยู่ไหน เธอจะย...”

      “แทหรอ!! เธอรู้จริงๆหรอยูริ เค้าอยู่ไหนบอกมาเร็วเข้าชั้นอยากเจอแท” ชั้นพูดพลางเขย่าแขนของยูริใหญ่ราวกับว่ามีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

      “ชั้นยังบอกไม่ได้หรอก”

      “ทำไมล่ะ??”

      “เธอต้องตกลงที่จะเข้ารับการผ่าตัดก่อนเท่านั้น ชั้นถึงจะบอกได้ว่าแทอยู่ไหน คือคำสั่งของแทเค้าน่ะ” ยูริโกหกคำโต เธอไม่ได้ต้องการจะหลอกทิฟฟานี่เลยแต่ถ้าเธอไม่พูดอย่างนี้ทิฟฟานี่คงไม่ยอมแน่และทั้งแทยอนและตัวทิฟฟานี่เองคงจะเสียใจไปตลอดชีวิต

      “ก็ได้ ชั้นยอมแล้วยูริ......ชั้นอยากเจอแทยอนอีกซักครั้ง”  ชั้นเอ่ยพลางเอสมือปาดน้ำตาของตัวเอง อย่างน้อยถ้าชั้นได้ผ่าตัดแล้วชั้นก็จะได้ไปถามเธอด้วยตัวของชั้นเอง
       
       
       
       
       
      หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
      “เป็นไงครับ มีอาการปวดตาบ้างรึเปล่าครับ” คุณหมอถามชั้นที่นอนอยู่บนเตียงโดยมีผ้าผันรอบตาอย่างแน่นหนาเพราะถ้าหากแผลผ่าตัดที่ตาเกิดติดเชื้อขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นในทันที

      “ไม่เลยค่ะ” ชั้นตอบกลับไป

      “แสดงว่าดวงตาของผู้ที่บริจาคคงจะเข้ากับคุณได้ดีมากเลยเพราะจากเคสอื่นๆอาจจะมีปวดลึกที่กระบอกตาเล็กน้อย   งั้นพรุ่งนี้คงจะแกะผ้าออกได้แล้วละครับ ยินดีด้วยนะครับที่คุณทิฟฟานี่จะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง”

      “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ” ชั้นกล่าวขอบคุณคุณหมอ พรุ่งนี้แล้วสิน่ะที่ชั้นจะกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แล้วก็พรุ่งนี้แล้วสิน่ะที่ชั้นจะได้เจอเธออีก คนที่ชั้นรอและเฝ้าถามตัวเองเสมอมาว่าที่จริงแล้วเธอหนีชั้นไปทำไม เรารักกันมากไม่ใช่หรือ เธอเคยสัญญาว่าจะอยู่กับชั้นตลอดไป แต่สิ่งที่เธอทำชั้นไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นการตัดสินใจของเธอมันจะต้องมีเหตุอะไรที่ทำให้เธอทิ้งชั้นไปแบบนี้แน่ๆ ชั้นต้องถามเธอให้รู้ด้วยตัวของชั้นเองแทยอน

      “เป็นไงฟานี่ ทำไมวันนี้ดูสดชื่นดีจัง” ยูริเอ่ยถามชั้นอย่างแปลกใจเมื่อคนที่ทำหน้าตาซึมเศร้าไม่พูดไม่จา วันนี้กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานอย่างชัดเจน

      “ก็ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่ดีใจที่จะได้รู้ว่าแทอยู่ที่ไหนซักที”

      “เอ่อ....งั้นหรอกหรอ....” ยูริกลืนน้ำลายแทบจะทันที ทิฟฟานี่จะรู้มั้ยนะว่าชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแทยอนอยู่ที่ไหน ถ้าพรุ่งนี้เธอมองเห็นแล้วถามหาแทยอนขึ้นมาชั้นจะทำยังอย่างไร ถ้าเธอรู้ว่าชั้นโกหกเธอคงจะโกรธชั้นมากใช่มั้ยทิฟฟานี่
       
       
       
       
      วันรุ่งขึ้น
      “หมอจะค่อยๆเปิดผ้าผันแผลออกนะครับ แล้วก็อย่าเพิ่งลืมตาจนกว่าหมอจะบอกนะครับ”

      “ค่ะ”  ชั้นตอบ ตอนนี้เธอรู้สึกทั้งตื่นเต้นและลุ้นมากทีเดียวว่าหากเปิดตาออกมาแล้วชั้นจะมองเห็นได้เหมือนเดิมมั้ยนะ

      “เอาล่ะครับ   ตอนนี้หมอแกะผ้าออกหมดแล้ว เดี๋ยวหมอจะนับ 1 2 3 แล้วค่อยๆลืมตาทีละนิดนะครับจะได้ไม่แสบตา”

      “ทิฟฟานี่เธอจะต้องมองเห็นแน่นอน” ยูรพูดพลางกุมมือชั้นไว้เพราะเธอก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
      1…..2…..3…

      “เป็นไงครับ?? เห็นหมอกับคุณยูริมั้ย??”

      “เห็นค่ะ” ชั้นเอ่ยพร้อมกับมองไปรอบๆทำให้ทั้งคุณหมอและยูริต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อการผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จได้ด้วยดี

      “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

      “ไม่เป็นไรครับมันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว งั้นขอตัวก่อนนะครับ”
       
      “ยูริ แทล่ะ บอกได้รึยังว่าแทอยู่ไหน??” ชั้นถามยูริทันทีหลังจากคุณหมอออกจากห้องไปแล้ว

      “เอ่อ...อออกไปหาอะไรอร่อยๆฉลองกันก่อนเถอะ เรื่องไอแทเดี๋ยวค่อยว่ากันก็ได้”

      “ไม่!! ชั้นรอมานานแล้วนะยูริ บอกมาเถอะ ชั้นอยากเจอเค้า” ชั้นพูดพลางเขย่าร่างยูริใหญ่จนยูริต้องยอมทำตามที่ชั้นต้องการไม่งั้นเธอคงโดนชั้นฆ่าตายแน่
       
      “ชั้นขอโทษฟานี่ ชั้นไม่รู้หรอกว่าไอแทมันอยู่ไหน”

      “ทำไมเธอทำแบบนี้ยูริ!!” ชั้นตะคอกใส่ยูริก่อนจะใช้มือบางของชั้นทุบตียูริอย่างแรงด้วยความผิดหวัง นี่คือการหลอกให้ผ่าตัดงั้นหรอ  ไม่มีข่าวคราวของแทยอนจริงๆใช่มั้ย ทำแบบนี้ได้ยังไงหลอกลวงชัดๆ

      “ชั้นขอโทษฟานี่.......ที่ชั้นรู้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ แต่แค่นี้เธอก็คงจะเข้าใจเหตุผลของไอแทมันแล้วแหละ” ยูริพูดก่อนจะยื่นซองจดหมายที่อยู่ในมือส่งให้ชั้นแล้วเดินออกไปนอกห้องทันที
       
       
      “ แท!!! ไม่จริง!!! ฮือ ฮือ!!” หลังจากอ่านจดหมายที่อยู่ในมือจบชั้นก็ล้มลงกองกับพื้นทันที นี่มันอะไรกัน!! เหตุผลที่เธอจากไป เธอทำเพื่อชั้นขนาดนี้เลยหรอแทยอน เธอรักชั้นขนาดนี้เลยหรอ งั้นดวงตาคู่นี้มันก็เป็นของเธอน่ะสิ เธอยอมเสียสละมันมาให้ชั้น เธอยอมแลกมันเพื่อให้ชั้นได้มองเห็นอีกครั้งแต่เธอกลับต้องมองอะไรไม่เห็นตลอดไปซะเองอย่างนั้นหรอ มันมากเกินไปเกินกว่าที่ชั้นจะรับไว้ได้ แทยอน มันมากเกินไปจริงๆ!! น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของชั้น ไม่ใช่สิ มันคือของคนที่ชั้นรักต่างหากแต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่กับชั้น ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย ยอม!! ชั้นยอมที่จะมองอะไรไม่เห็นไปตลอดชีวิตแต่ได้อยู่เคียงข้างกับเธอ ดีกว่าให้ชั้นมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างแต่ไร้ซึ่งคนที่ชั้นรักอยู่ข้างกาย 
       
       
       
       
       
      “ยูริขอบคุณนะที่ช่วยเหลือชั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ชั้นไม่รู้จะตอบแทนเธอยังไงดี” ชั้นพูดพลางยื่นมือไปจับมือของยูริเป็นการขอบคุณด้วยใจจริง เพราะตั้งแต่ชั้นออกมาจากโรงพยายาบาลก็ได้ยูรินี่แหละที่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง

      “ไม่เป็นไรฟานี่ เธอก็คือเพื่อนชั้นคนนึง แล้วนี่ ตกลงจะไปจริงๆหรอ ความจริงอยู่ที่นี้กับชั้นก็ได้นะ” ยูริเอ่ยทักท้วงเป็นครั้งสุดท้ายทั้งที่รู้ว่าคำพูดของเธอคงจะเปลี่ยนใจชั้นไม่ให้ไปไม่ได้อยู่แล้วแต่ก็อดเป็นห่วงคนตรงหน้าไม่ได้ว่าจะออกไปอยู่อย่างไรคนเดียว

      “ยังไงชั้นก็ต้องออกตามหาแทยอนให้เจอให้ได้ ถึงแม้จะต้องใช้เวลาซักเท่าไหร่ชั้นก็ยอมจนกว่าจะได้เจอเค้า ไม่ต้องห่วงแล้วชั้นจะส่งข่าวมาหาบ่อยๆนะยูริ”
      “โชคดีนะฟานี่ ขอให้เจอไอแทเร็วๆล่ะ” ยูริตะโกนไล่หลังชั้นไป
       
       
       
       2 ปีต่อมา
      ระยะเวลา 2 ปีเต็มที่ชั้นเที่ยวตามหาแทยอนตามที่ต่างๆ เมืองต่างๆในเกาหลีแต่ก็ไม่มีวี่แววของคนรักแม้แต่น้อยจนชั้นเริ่มที่จะเหนื่อยและล้ากับการตามหาคนรักแบบไม่มีจุดหมายปลายทางเช่นนี้   ไม่ใช่ว่าหมดรักหากแต่เพียงแค่หมดแรงที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยไร้ซึ่งคนที่คอยให้กำลังใจ การอยู่คนเดียวโดยไม่มีแทยอนมันทำให้หัวใจของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งมันทรมานเกินกว่าจะยืนหยัดต่อไปได้ เมื่อคิดอย่างนั้นชั้นจึงเลือกที่จะกลับมาพักใจที่กรุงโซลเช่นเดิมก่อนเพื่อหวังว่าหากหายเหนื่อยและหายท้อจะได้มุ่งมั่นตามหาคนที่ต้องการจะเจออีกซักครั้งในชีวิต 
       
      “ว่าไงยูริ ถึงไหนแล้วเนี่ย??” ชั้นเอ่ยถามยูริผ่านทางโทรศัพท์มือถือในมือ ทั้งชั้นและยูริไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่วันนั้นเพียงแต่ติดต่อกันบ้างผ่านทางโทรศัพท์และเมื่อยูริรู้ว่าชั้นกลับมาที่โซลจึงอยากนัดเจอเพื่อทานข้าวและถามไถ่ข่าวคราวบ้าง
      (ชั้นออกมาแล้ว แต่รถติดมากเลยเธอนั่งรอแถวๆสวนสาธารณะยออิโดไปก่อนนะแล้วชั้นจะรีบไปรับ)

      “เอางั้นก็ได้ รีบๆมานะ” ชั้นรับคำก่อนจะวางสายไปแล้วชั้นก็เดินไปนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ในสวนสาธารณะยออิโด 
       
      “ทำไมวันนี้หนูเดินเร็วจังล่ะคะ ป๊าเดินตามไม่ทันแล้วนะ” ระหว่างที่ชั้นนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเหมือนคุยเล่นหยอกเย้ากับลูกสาวทำให้ชั้นหันไปมองด้วยความสนใจเพราะผู้ชายเกาหลีส่วนใหญ่ไม่ค่อยเล่นกับลูกของตัวเองแบบนี้แต่ปรากฏว่าภาพตรงหน้ากลับตรงกันข้ามกลับที่ชั้นคิดโดยสิ้นเชิงเมื่อคนที่เรียกตัวเองว่าป๊ากลับเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่เสื้อกันหนาวแจ็คเก็ตสีดำและแว่นกันแดดสีน้ำตาลอ่อนทำให้ยิ่งขับผิวของคนๆนั้นให้ขาวขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ส่วนคนที่ผู้หญิงคนนั้นเรียกว่าลูกกลับเป็นเพียงแค่สุนัขขนฟูน่ารักตัวหนึ่งเท่านั้น 
       
       
      “หิวน้ำรึยัง เดี๋ยวป๊าป้อนน้ำให้นะ” ชั้นเริ่มมองร่างบางที่อยู่ตรงหน้าอย่างเอะใจ ทำไมเธอถึงคล้ายกับแทยอนนัก 
       
      “อิ่มแล้วใช่มั้ยคิมบับ งั้นป๊าขอดื่มน้ำก่อนนะคะ” คิมบับงั้นหรอ
       
      ชั้นรู้ว่าฟานี่ชอบกินคิมบับนะ แต่.....เธอไม่คิดจะกินอย่างอื่นบ้างเลยหรอไงอย่างเช่นไก่ตุ๋นโสมหรืออาหารพวกนั้นน่ะ
       
      “แทยอน..” ชั้นอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยตลอดเวลา 2 ปีที่ออกตามหาเธอทั่วเกาหลีแต่ไม่เคยเจอ สุดท้ายเธอกลับอยู่แค่เอื้อมนี่เอง
       
       
      “ขอโทษนะคะ” ชั้นเดินเข้าไปหาคนตรงหน้าทันทีอย่างไม่รั้งรอ ถ้ามัวแต่คิดชั้นอาจจะต้องเสียคนรักไปอีกแน่
       
      “มีอะไรหรอคะ” เสียงที่ถามกลับมาทำให้ชั้นกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไว้ไม่อยู่อีกแล้ว ใช่เธอจริงๆด้วย คนที่ชั้นตามหามาตลอดบัดนี้เธออยู่ห่างกับชั้นไม่ถึงคืบ
       
      “แทยอน” ชั้นเรียกชื่อคนรักออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา อยากกอดคนตรงหน้าให้หายคิดถึงเหลือเกิน
       
      “คุณรู้จักชั้นด้วยหรอ??”  คำพูดที่บาดใจชั้นหลุดออกมาจากคนตรงหน้า
      อีกระรอก  ทำไมชั้นจะไม่รู้จักเธอล่ะ เกินกว่าคำว่าคนรู้จักด้วยซ้ำ
       
      “ไปแล้วงั้นหรอ ใครก...” ชั้นสวมกอดแทยอนทันทีโดยไม่รอให้แทยอนพูดจบ 
       
      “แท.............รู้มั้ยว่าฟานี่ตามหาแทมานานแค่ไหน” ชั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่เกิดจากการสะอื้นไห้  นานเท่าไหร่แล้วที่ชั้นไม่ได้เจอและไม่ได้สัมผัสคนในอ้อมกอด ที่ผ่านมามันเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสิ้นดี
       
       
      “แท......ทำไมทำแบบนี้ ฮือฮือ ถ้าฟานี่รู้ฟานี่จะไม่ยอมรับมันเด็ดขาดเลย”
      ชั้นทุบตีแทยอนเสียชุดใหญ่แต่การกระทำนี้ไม่ได้เกิดจากความเคียดแค้นหากแต่เป็นความรู้สึกที่โหยหาคนตรงหน้ามากเกินกว่าที่จะทนเห็นคนรักยืนไม่พูดไม่จาอะไร
       
      “ฟานี่พูดเรื่องอะไร ชั้นไม่เข้าใจหรอก”
       
      “เลิกปากแข็งซักทีเถอะ ฟานี่รู้หมดแล้ว.........แทไม่คิดบ้างหรอไงว่าฟานี่จะรู้สึกยังไงที่แท..” ชั้นพูดไม่ออกเมื่อคำที่ต้องการจะเอ่ยมันจะทำร้ายความรู้สึกของคนที่ชั้นรักมากเกินไป
       
      “เพราะแทรักฟานี่ไงล่ะ เหตุผลแค่นี้พอจะยอมรับในสิ่งที่แทตัดสินใจไปได้รึยัง”
       
      “แล้วแทรู้ได้ไงว่าฟานี่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ คิดบ้างมั้ยว่าฟานี่จะอยู่ได้ยังไงโดยไม่มีแทน่ะ” ชั้นเอ่ยทั้งน้ำตา สำหรับชั้นเธอคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตชั้นไม่ได้ต้องการจะมองเห็นเลยแม้แต่น้อยถ้ามันทำให้ต้องพรัดพรากจากเธอ
       
      “อยู่ได้สิ ลืมไปแล้วหรอว่า 2ปีแล้วนะที่เราอยู่โดยไม่มีกันและกัน เห็นมั้ยว่าฟานี่อยู่ได้โดยไม่มีชั้น ชั้นน่ะ.....ไม่ได้สำคัญกับชีวิตฟานี่ขนาดนั้นหรอก” คำพูดของแทยอนกำลังฆ่าชั้นอย่างเลือดเย็น เธอไม่เข้าใจความรู้สึกของชั้นเลยว่าที่ผ่านมาชั้นทรมานมากแค่ไหนแต่เธอก็เลือกที่จะปฏิเสธชั้นปฏิเสธหัวใจตัวเอง
       
      “ถ้าแทไม่สำคัญกับชีวิตของฟานี่........2 ปีที่ผ่านมาฟานี่คงไม่ต้องอยู่อย่างทรมานแบบนี้   ไม่ต้องนอนร้องไห้คิดถึงแททุกวัน   แบบนี้หรอที่บอกว่าฟานี่อยู่ได้โดยไม่มีแทน่ะ” ชั้นเอ่ยพลางดึงมือของแทยอนมาจับไว้เพื่อหวังว่าเธอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของชั้นในตอนนี้บ้างว่าโหยหาคนตรงหน้าแทบขาดใจอยู่แล้ว
       
      “อย่าทำให้ชั้นลำบากใจอีกเลยนะฟานี่ ตอนนี้ชั้นเป็นเพียงแค่คนตาบอดคนนึงไม่มีค่าอะไรสำหรับฟานี่ผู้หญิงที่สามารถจะมีอนาคตที่ดีได้ถ้าไม่มีคนอย่างชั้น”
      และแล้วประโยคที่ทำให้ชั้นแทบจะล้มทั้งยืนก็ถูกเอ่ยออกมาจนได้
       
       
      “เดี๋ยว!!  บอกชั้นซักคำได้มั้ยว่าเธอไม่ได้รักชั้น.............ถ้าเธอบอกแค่ไม่รักชั้นคำเดียวเท่านั้น ชั้นจะไม่ถามอะไรกวนใจเธออีกเลยแทยอน” ชั้นเอ่ยประโยคนั้นออกไปอย่างยากลำบาก ในเมื่อแทยอนตัดสินใจที่จะจบความสัมพันธ์ของเราแบบนี้ชั้นก็อยากที่จะรู้ความในใจของเธอซักครั้งว่าตกลงเธอยังคงรักชั้นหรือไม่หรือทำเพราะไม่อยากให้ชั้นต้องอยู่กับคนแบบเธอ
       
       
      “ฟานี่..........เธอเป็นอิสระแล้ว” เธอเอ่ยพลางเอามือของเธอปลดสร้อยที่ห้อยอยู่ที่คอส่งให้ชั้นซึ่งชั้นยังคงจำได้ไม่เคยลืมว่ามันคือสร้อยที่ชั้นเป็นคนใส่เธอให้กับมือ มันคือสร้อยที่แทนความรักระหว่างเรา
       
      “ไม่นะแท!! มันต้องไม่เป็นแบบนี้” ชั้นเอ่ยเสียงดังลั่นพร้อมกับรั้งข้อมือของคนรักไว้อีก 
       
      “ไหนบอกว่าจะปล่อยชั้นไปไงล่ะ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรอ ชั้นไม่รักเธอแล้วทิฟฟานี่.....อยู่บนโลกแห่งความจริงซักที”  เธอตะคอกใส่หน้าชั้นพลางสะบัดแขนของเธอออกอย่างไม่เหลือเยื่อใย ใช่ มันชัดเจนซะจนชั้นรับความจริงไม่ไหวว่าต่อไปนี้ชั้นจะไม่มีคนที่ชื่อแทยอนอีกแล้ว ไม่มีคนที่ชั้นต้องตามหาเพื่อที่หวังว่าจะได้กลับมารักกันดังเดิมอีกแล้ว ทุกสิ่งมันจบแล้ว จบแบบที่ชั้นคงจะต้องทุกข์ใจไปตลอดชีวิต
       
      เธออยากให้ชั้นมีความสุขต่อไปด้วยดวงตาของเธอ
      แต่ชั้นกลับไม่มีความสุขเลยเพราะชั้นต้องการแค่เพียง
      เจ้าของดวงตาคู่นั้น
       
       
       
       
      “ฟานี่!!!” เสียงเรียกนั่นทำให้ชั้นเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกจากยูริที่ตะโกนเรียกชั้นมาแต่ไกลเมื่อเห็นชั้นกำลังนั่งรออยู่ในสวนสาธารณะ
       
      “ในเมื่อเธอต้องการให้เรื่องจบแบบนี้ ชั้นก็คงต้องยอมรับมันสินะ” ชั้นเอ่ยกับตัวเองขณะที่ก้มลงมองสร้อยคอที่อยู่ในมืออีกคราก่อนจะกระชากสร้อยที่คอของตัวเองออกมาเช่นกันในเมื่อไม่มีลูกกุญแจ.....แล้วจะมีแม่กุญแจไปเพื่ออะไร
       
      “ชั้นจะเอาความรักของเราทิ้งลงแม่น้ำฮัน ชั้นจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ซักที”
      ชั้นคิดพลางลุกขึ้นยืน
       
      “เดี๋ยวชั้นมานะยูริ!!” ชั้นตะโกนบอกยูริที่วิ่งจนเกือบจะมาถึงตัวชั้นอยู่แล้ว
       
      “จะไปไหนอ่ะฟานี่??” ยูริเอ่ยด้วยความแปลกใจขณะที่ยืนมองทิฟฟานี่วิ่งข้ามถนนไปยังอีกฟากที่มีแม่น้ำฮันทอดขวางอยู่กลางใจกรุงโซล
       
      “ฟานี่!!”
       
      !!!เอี๊ยด โครม!!
       
      “อึ๊ก!!”
       
      “ขอบคุณมากนะที่ชนชั้น จะได้ไม่ต้องคิดว่าจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปอย่างไรดี”
      ชั้นเอ่ยกับตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สมองของชั้นจะหนักอึ้งไปหมดด้วยความเจ็บปวดจากแรงของรถยนต์ที่พุ่งเข้าใส่ชั้นอย่างจังขณะที่ชั้นกำลังวิ่งข้ามถนน
       
       
      ความรักไม่จำเป็นต้องสมหวังเสมอไป.........
      ไม่จำเป็นต้องจบด้วยคำว่าสมบูรณ์แบบ........
      เพราะความรักที่สมบูรณ์แบบ........
      คือการที่ใครซักคนอาจจะต้องเสียสละเพื่อคำว่ารักคำนั้น………

      .................................................................................................................................................

      จบอย่างรันทด  แต่ว่าไรต์เตอร์รู้สึกดีที่ได้แต่งให้จบแบบนี้เพราะว่าถ้าจบแบบ happy ending มันก็ไม่มีอะไรเนอะ เศร้าบ้าง 55
      ขอร้องนะคะช่วยเม้นเป็นกำลังใจให้ไรเตอร์ด้วยสิ!!
      เห็นเม้นแล้วเข่าอ่อนเลย
      1 คน ได้ 1 คอมเม้นท์
      10 คน ได้ 10 คอมเม้นท์
      แค่นี้คงไม่ขอมากเกินไปใช่มั้ยคะจะได้มีแรงลงฟิคเรื่องต่อไปให้อ่านกัน
      ขอบคุณมากนะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×